ผู้นำ 5 องค์กรแสดงจุดยืนพร้อมรวมพลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ความปลอดภัยของผู้ป่วย บุคลากรสาธารณสุข และประชาชน (3P Safety) ด้วย Growth Mindset
ผู้นำ 5 องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย บุคลากรสาธารณสุข และประชาชน ร่วมกล่าวบรรยายในหัวข้อ การผนึกกำลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 3P Safety ระยะที่ 2 พ.ศ. 2567-2570 ในงานประชุมวิชาการประจำปี HA National Forum ครั้งที่ 24 ซึ่งจัดโดย สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. เมื่อเร็วๆ นี้
ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา กล่าวว่า ตนเห็นด้วยอย่างยิ่งในเรื่องการรวมพลังสร้างความเข้มแข็งและแรงใจให้บุคลากรสาธารณสุข หากไม่มีหลายฝ่ายมาร่วมมือกันคงไม่เกิดความสำเร็จในการขับเคลื่อนนโยบาย 3P Safety
ศ.พญ.สมศรี กล่าวต่อไปว่า ในด้านการสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากรสาธารณสุขนั้น ด้วยความที่ตนมีหน้าที่ใน 2 องค์กร คือแพทยสภา และ แพทยสมาคม การที่ 2 องค์กรนี้ร่วมมือกันจะช่วยทำให้เกิดความเข้มแข็งในหลายด้าน บางอย่างที่แพทยสภาทำไม่ได้ก็ได้แพทยสมาคมเข้ามาช่วย เช่น ในปี 2547 ช่วงที่สถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้กำลังร้อนระอุ แพทยสมาคมก็ได้ทำประกันชีวิตให้แพทย์กว่า 200 คนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ หรือในปี 2564 ช่วงโควิด-19 ระบาด แพทยสมาคมก็ทำประกันสุขภาพให้แพทย์ พยาบาล ทั้งประเทศ เป็นต้น
ขณะที่ในด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุขนั้น แพทยสภามีโครงการต่างๆ ที่พัฒนาให้แพทย์มีประสบการณ์และทำให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนมากขึ้น นอกจากนี้ ยังรวมพลังกับวิชาชีพอื่นภายใต้สมาพันธ์สภาวิชาชีพ ซึ่งนอกเหนือจากด้านสาธารณสุขแล้ว ยังมีวิชาชีพวิศวกร บัญชี ทนายความ ซึ่งจะช่วยขยายพื้นที่การทำงานงานได้อีกมาก
“สรุปคือถ้าทุกคนรู้หน้าที่ตนเองว่ามีหน้าที่อะไร ก็จะทำให้ประชาชนทุกคนมีสุขภาพที่ดี สมบูรณ์เป็น 3P Safety อย่างที่ตั้งใจไว้”ศ.พญ.สมศรี กล่าว
ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า ในยุทธศาสตร์ที่ 2 ของ 3P Safety ซึ่งเน้นการสานพลังชุมชนสังคมเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัย มี 5 กลยุทธ์ที่แต่ละหน่วยบริการนำไปปรับใช้ได้ คือ 1. การสร้างการมีส่วนร่วม 2. การใช้ประสบการณ์ผู้ป่วยและความคาดหวังของประชาชนมาพัฒนาบริการ 3. การสร้างทีมนำและเครือข่าย 4.การพัฒนาระบบบริหารจัดการ เป็นการสร้างกลไกเพื่อเรียนรู้และพัฒนา และ 5.การสื่อสารสังคมเกี่ยวกับ 3P Safety
นพ.สุเทพ กล่าวว่า เมื่อนำกลยุทธ์ทั้ง 5 ข้อนี้ไปสู่การปฏิบัติ ตนคิดว่า 1. ต้องมีกลไกในพื้นที่เพื่อนำนโยบาย/ยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติ 2. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ป่วย ญาติ และบุคลากร ซึ่งเรื่องนี้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว 3.สิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพ เป็นอีกส่วนที่ให้ประชาชนเข้ามาร่วมออกแบบและจัดบริการได้ 4. กลไกต่างๆ ของ สช. เป็นแพลตฟอร์มที่หน่วยงานต่างๆนำไปใช้ได้ จุดแข็งของ สช. คือมีเครือข่ายในทุกพื้นที่ และพร้อมที่จะทำงานร่วมกับองค์กรต่างๆ ในการใช้เครือข่ายและกลไกร่วมกันได้ และ 5. การสื่อสารสังคม ซึ่งเมื่อพูดว่า Better healthcare แปลว่ามันก็ต้องดีขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นต้องสานพลังร่วมกันเพื่อขับเคลื่อน 3P Safety ตามที่ทุกฝ่ายคาดหวังไว้
ขณะที่ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า ระบบสาธารณสุขของไทยเดินมาถึงอันดับ 5 ของโลก มาจากการเดิน 2 ขา ขาซ้ายคือระบบบริการ ขาขวา คือ การพัฒนาระบบสาธารณสุขมูลฐาน ดังนั้น 3P Safety ตัว 2 P แรกอยู่ในระบบบริการสุขภาพ แต่ P ตัวสุดท้าย เป็นเรื่อง Primary health ที่ประชาชนต้องดูแลตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ
นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมี 2 เรื่องสำคัญที่เป็นตัวคุกคามระบบสุขภาพ คือ 1.การมาถึงของภาวะสังคมสูงอายุเร็วกว่าที่คาด วันนี้ประเทศไทยเป็นสังคมสูงอายุสมบูรณ์แบบ มีผู้สูงอายุ 20% และอัตราการเกิดลดลง จำนวนประชากรเริ่มลดลง ดังนั้นถ้าเตรียมตัวไม่ดีมีปัญหาแน่ 2.โรคติดต่อไม่เรื้อรัง มีจำนวนมากขึ้น ภาระงานก็จะมากขึ้น ทั้งผู้ป่วยไตวาย ผู้ป่วย Strock ผู้ป่วยโรคหัวใจ และจำเป็นต้องมีการดำเนินการที่จริงจังมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เทคโนโลยีที่จะมาช่วยเรื่อง 3P Safety กำลังใกล้ตัวเข้ามามากขึ้น เช่น การนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ฟิล์มเอ็กซเรย์ซึ่งจะทำให้หมอสะดวกในการวินิจฉัยมากขึ้น การใช้หุ่นยนต์ในการผ่าตัด ช่วยในความแม่นยำในการทำหัตถการ ระบบ Decision support system ที่จะช่วย warning แพทย์ป้องกันความผิดพลาด เช่นสั่งยาผิด สั่งแลปซ้ำ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้บุคลากรต้องเรียนรู้มัน และท้ายที่สุดคือการคิดนอกกรอบในการแก้ปัญหา รวมทั้งการเริ่มต้นการขับเคลื่อนงานด้วย Passion ทำเพื่อประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์เป็นรางวัลที่ดีที่สุดที่จะตอบแทนเรา ไม่ใช่เรื่องทองหรือตำแหน่งใดๆ
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ระบบหลักประกันไม่ได้ดูแลเรื่องเงินอย่างเดียว แต่ดูเรื่องคุณภาพด้วย ในกฎหมายหลักประกันสุขภาพมีคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ซึ่งเน้นเรื่องการส่งเสริมคุณภาพ มาตรฐานและความปลอดภัย เช่นเดียวกับปรัชญาของ สรพ. ที่มองเรื่องคุณภาพเป็นเรื่องของการส่งเสริม ไม่ใช่บังคับ ซึ่งตนคิดว่ามาถูกทางแล้ว
นพ.จเด็จ กล่าวต่อไปว่า Growth mindset เป็นจุดตั้งต้นที่ดี และในอนาคตควรมี Mindset เป็นตัวนำในเรื่องคุณภาพ ยกตัวอย่างเช่น การวัดความพึงพอใจของผู้รับบริการ ซึ่ง สปสช. ได้ความพึงพอใจ 98% ถ้าใช้ Mindset เดิมก็เป็นเรื่องที่พอใจ แต่ถ้าใช้ Mindset ใหม่ ต้องมองคนที่ไม่พอใจอีก 2% ด้วยคืออะไรและพยายามปรับระบบให้ตอบสนองคนกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น การลดขั้นตอนการทำงาน การลดความแออัดในโรงพยาบาล เป็นต้น
หรือในเรื่องแรงกดดันของ สปสช. ที่ต้องคุมค่าใช้จ่ายในภาพรวมให้ได้ ซึ่งก็ต้องปรับ Mindset ไปขับเคลื่อนที่ปฐมภูมิ ตั้งแต่ Self-care หรือการไปรักษาที่หน่วยบริการต่างๆ เช่น ร้านยา แพทย์แผนไทย ฯลฯ เพื่อให้คนที่เข้าไม่ถึงบริการ สามารถเข้าถึงบริการได้มากขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างของการปรับ Mindset ทั้งสิ้น
ด้าน พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนมีโอกาสเกิด error ได้เป็นปกติ ความผิดพลาดเหล่านี้ไม่ได้เกิดจาก Bad people แต่มาจากการทำงานใน Bad system ดังนั้น การมีระบบที่เข้มแข็งจึงเป็นเรื่องสำคัญ
พญ.ปิยวรรณ กล่าวอีกว่า ในการออกแบบระบบหรือกระบวนการนี้ จะอยู่ในวงล้อกระบวนการพัฒนาคุณภาพโดยมีเป้าหมายคือคือ 3P patients personnel people ต้องปลอดภัย โดยในการออกแบบวิธีการทำงานแล้ว ต้องออกแบบว่าใครเป็นคนทำและทำกับใคร สำหรับคนกลุ่มไหน ครอบคลุมแค่ไหน และต่อด้วยว่าควบคุมกำกับอย่างไร ข้อมูลอะไรที่ต้องเก็บเพื่อประเมินผล เมื่อรู้ทุกอย่างแล้วถึงจะเริ่ม Action
“ถ้าวางไม่ครบ loop เราจะไม่เกิดการพัฒนาเพราะเราไม่รู้ว่าผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร สรพ. ชวนทำเรื่องคุณภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการกลับมาดู Process และ System และอยากบอกว่าหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือการออกแบบแล้วเอาไป implement อย่างเป็นระบบ รู้ว่าทำอย่างไร กับใคร แค่ไหน ติดตามผลอย่างไร การออกแบบต้องคำนึงถึงคนและทรัพยากรที่มี ไม่ออกแบบเกินกว่าสิ่งที่มี และการออกแบบต้องดูว่ามีความเสี่ยงอะไรเพื่อให้บริหารจัดการความเสี่ยงได้ ท้ายที่สุดต่อให้มีระบบที่ดี แต่ถ้าคนไม่ทำก็ไม่สามารถเกิดสิ่งที่ดีได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือเรื่องภายใน หรือ Mindset ถ้าคนตระหนักและพร้อมทำเรื่องที่ดี มี Growth mindset สิ่งต่างๆจะเกิดขึ้นได้”พญ.ปิยวรรณ กล่าว
- 61 views