ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ข่าวนักศึกษาอดอาหารประท้วง เพื่อสร้างกระแสให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็เกิดขึ้นในสังคมไทยหลายครั้ง และในโลกก็มีตัวอย่างมาไม่น้อย นัยว่าเป็นวิธีอหิงสา ไม่ได้เบียดเบียนใคร และดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใครทำสำเร็จจนตายเท่าไรนัก

คนเราอดอาหารได้นาน ๆ ถ้าอดอาหารเพียงอย่างเดียว ยังกินน้ำบ้าง ก็จะอยู่ได้นานหลายเดือน แต่จะผอมแห้งลงเรื่อย ๆ แต่ไม่ตายเร็ว เพราะว่าคนเรามีอาการสะสมอยู่ในรูปไขมัน และกล้ามเนื้อ อาจเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ในวันที่พลังงานหมดเกลี้ยง จึงจะเสียชีวิตได้ 

หากคนเราอดทั้งอาหารและน้ำ ก็จะยังมีชีวิตอยู่ได้ระหว่าง 12-55 วัน ไตจะทำงานเต็มที่เก็บน้ำไว้ ผลิตปัสสาวะน้อยลง จนหยุดปัสสาวะในราวสัปดาห์ที่ 2 หลังอดน้ำ แต่จิตใจที่ร้อนรน ความร้อนของบรรยากาศ และกิจกรรมอาจทำให้ขาดน้ำเร็วขึ้น เมื่อขาดน้ำก็อาจจะหมดสติไปเสียก่อน แต่จะยังไม่ตาย จนกระทั่งน้ำแห้งถึงจุดวิกฤติ ร่างกายทำงานต่อไม่ได้ เสียชีวิตไปทั้งที่อาหารสะสมไว้ยังไม่หมดไปจากร่าง

ในความเป็นจริง คนที่ตั้งใจอดอาหารและน้ำประท้วง ก็จะไม่มีทางตายได้ เพราะทันทีที่หมดสติ ก็ไม่สามารถห้ามคนรอบตัวไม่ให้ช่วยชีวิต เมื่อเจ้าของชีวิตสลบไป พวกเขาก็จะเข้าแทรกแซงธรรมชาติ ไม่ยอมให้ผู้ประท้วงตายง่าย ๆ เพียงให้น้ำเกลือเข้าไปทางปาก หรือทางเส้นเลือด อีกไม่นานก็ฟื้น

ดังนั้น ผู้ประท้วงที่เอาจริงและมีความรู้ ก็จะต้องเขียนสั่งห้ามช่วยชีวิตไว้ล่วงหน้า นั่นคือการทำเอกสาร “living will” หรือเอกสารแสดงเจตนาไม่รับบริการทางการแพทย์ที่จะยืดชีวิต กฎหมายไทยได้รับรองสิทธินี้ไว้ใน มาตรา 12 พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 แพทย์ผู้เคารพอัตตาณัติของเจ้าของชีวิต ก็จะปฏิบัติตามที่เจ้าของชีวิตสั่งไว้ อันเป็นหลักการของจริยธรรมทางการแพทย์ที่สำคัญ แพทย์สามารถปฏิเสธคำร้องขอให้ช่วยยื้อชีวิตของคนรอบตัวผู้ป่วยได้ ผู้ประท้วงจึงจะมีโอกาสบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้

อย่างไรก็ดี หากแพทย์ผู้เกี่ยวข้อง ไม่ปฏิบัติตาม living will คือ กระทำการแทรกแซงธรรมชาติ ทั้งที่เจ้าของชีวิตห้ามไว้แล้ว ในทางกฎหมายก็ไม่ผิด แต่ก็ถือว่าผิดจริยธรรมที่ไม่ปฏิบัติตามความประสงค์ของเจ้าของชีวิต หมอบางท่านก็อาจจะอ้างว่า นี่ไม่ใช่ระยะท้ายของชีวิต จึงไม่ปฏิบัติตาม 

การเลือกฆ่าตัวตายด้วยวิธีงดน้ำและอาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลสามารถเลือกทำได้แม้จะเป็นความผิดทั้งในทางศาสนา และทางกฎหมาย แต่ก็ไม่ต้องรับโทษเพราะตายไปแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการุณยฆาต เพราะเบียดเบียนตนเอง จึงไม่ “การุณย์” และไม่ได้ขอให้หมอช่วยทำ “ฆาตกรรม”