นับตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด เราเห็นบทบาทของ
“ร้านยา” ในฐานะ “หน่วยบริการปฐมภูมิ” ที่คอยสนับสนุนและช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ระบบสาธารณสุข หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ โครงการ “เจอ แจก จบ’ ดูแลผู้ป่วยโควิดอาการน้อย หรือกลุ่มสีเขียว โดยเภสัชกร ที่ผู้มีผล ATK บวก สามารถรับยาและได้รับคำแนะนำในการใช้ยาและการปฏิบัติตัวได้ทันทีจากร้านยาที่ร่วมโครงการ
ในปีงบประมาณ 2566 นี้ “ร้านยา” จะมีบทบาทเชิงรุกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดำเนินโครงการ ‘ผู้ป่วยบัตรทองเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ รับยากับเภสัชกรที่ร้านขายยาได้ทันทีเพื่อใช้การบรรเทาอาการเบื้องต้นโดยประชาชนไม่เสียค่าใช้จ่าย
“The Coverage” พูดคุยกับ ภญ. เพ็ญทิพา แก้วเกตุทอง ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองร้านยาคุณภาพ สภาเภสัชกรรม ถึงโครงการที่เพิ่งจะเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
โครงการที่ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “บริการดูแลโรคทั่วไปหรือการเจ็บป่วยเล็กน้อย (common illnesses)” สำหรับผู้มีสิทธิบัตรทองทุกคน
กว่า10 ปี กับการผลักดัน ‘ร้านขายยา’ เป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ภญ.เพ็ญทิพา เล่าว่า เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปีมาแล้ว ที่วิชาชีพเภสัชกรชุมชน โดย สภาเภสัชกรรม สมาคมเภสัชกรรมชุมชน มูลนิธิเภสัชกรรมชุมชน และหลายๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเภสัชกรชุมชนได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ในการพยายามขับเคลื่อนร้านยาให้เป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพ ( สปสช.) จนเริ่มประสบความสำเร็จเมื่อปี 2562 ที่มีการประกาศให้ “ร้านยาเป็นหน่วยร่วมบริการ” ในที่สุด
ทำให้ในปี 2562 เป็นจุดแรกที่ร้านยาเข้ามาช่วยเรื่องการลดความแออัดในโรงพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยที่มีอาการคงที่มารับยาที่ร้านยา และมีเภสัชกรที่ร้านยาช่วยดูแลติดตามการใช้ยาของผู้ป่วยในโครงการ “ร้านยาชุมชนอบอุ่น ลดความแออัด”
เมื่อมาถึงช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สภาเภสัชกรรมก็ได้เสนอการดูแลผู้ป่วยที่มีผลตรวจ Antigen Test Kit (ATK) เป็นบวก เริ่มจากการที่ สปสช.ให้ร้านยาช่วยแจกชุดตรวจให้ประชาชน และก็พบว่าเมื่อประชาชนเข้าถึงชุดตรวจมากขึ้น ผลบวกก็เพิ่มขึ้นตามมาด้วย
สภาเภสัชกรรม (ในวาระปัจจุบัน) จึงเสนอแนวทางให้ เภสัชกรที่ร้านยาช่วยดูแลให้คำแนะนำการใช้ยาและคำแนะนำในการปฏิบัติตัวต่างๆ” โดยมีการกำหนดมาตรฐานการดูแล ติดตามอาการ ชุดยาที่จำเป็นรวมทั้งแนะนำวิธีการใช้ยาตลอดจนการปฏิบัติตน ในผู้ติดเชื้อกลุ่ม “ สีเขียว “ ซึ่งคือ “โครงการร้านยา เจอ แจก จบ “ที่ให้บริการมาจนถึงปัจจุบันมีร้านยาเข้าร่วมเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยราว 700 ร้านยา และมีผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลราว 6 หมื่นคน
16 กลุ่มอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ‘Common illness’
หลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มซาลง และประชาชนมีความเชื่อถือ-ชื่นชมเภสัชกรมากขึ้น สภาเภสัชกรรมได้นำเสนอกับ สปสช. ถึงอีกหนึ่งตัวเลือกในการลดความแออัดของโรงพยาบาล
นั่นคือ การดูแลในรูปแบบเจ็บป่วยเล็กน้อย (Common illness) มารับยาที่ร้านยาในปีงบประมาณ 2566
“ในอดีตเราบอกว่าลดความแออัดโดยการดึงคนไข้ NCDs ออกมา แต่ถ้าลดความแออัดโดยการที่ไม่เอาคนไข้เจ็บป่วยเล็กน้อยเข้าไปแออัดในโรงพยาบาลด้วยจะดีไหม?”
ภญ.เพ็ญทิพา อธิบายว่า สภาเภสัชกรรมได้มีการเสนอรูปแบบ และมาตรฐานการทำงานว่าจะดูแลในกลุ่มโรคใดบ้างที่เข้ามารับบริการที่ร้านยาบ่อยๆ ซึ่งก็ได้มีการกำหนดมาตรฐาน กำหนดกลุ่มโรค รายการยา มาตรฐานในการทำงานของร้านยาที่จะต้อง “ผ่านการอบรม” เพื่อให้มีมาตรฐานในการดูแลประชาชน ตลอดจนมาตรฐานในการจ่ายยา และบันทึกข้อมูลการติดตาม ให้ได้คุณภาพที่ดีเป็นมาตรฐานเดียวกัน
“นี่เป็นสิ่งที่เราเสนอ สปสช. ไป มีซึ่งก็มีการหารือเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรฐานต่างๆ จนกระทั่ง สปสช. เห็นประโยชน์ตรงนี้เลยประกาศให้การจ่ายยา Common illness เจ็บป่วยเล็กน้อยมาที่ร้านยา จนนำมาสู่การกำหนด “16 กลุ่มอาการ” สำหรับผู้มีสิทธิบัตรทองที่จะเข้ามารับบริการที่ร้านยา(https://www.thecoverage.info/news/content/4210) จากฐานคิดเดิมคือการช่วยลดความแออัด” และประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการของระบบหลักประกันสุขภาพได้ง่ายและสะดวกขึ้น
ภญ.เพ็ญทิพา ขยายความว่า สิ่งที่ประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองจะได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวคือ “ไม่มีค่าใช้จ่าย” สามารถเดินเข้ามาที่ร้านยาพร้อมบัตรประชาชนสำหรับใช้ยืนยันตัวตน ไปพร้อมๆ กับการได้รับยาบรรเทาอาการเบื้องต้นพร้อมคำแนะนำต่างๆจากเภสัชกร และได้รับการติดตามอาการใน 3 วัน หลังจากได้รับยาไปแล้ว ว่าอาการดีขึ้นหรือไม่ หากไม่ดีขึ้นก็จะแนะนำเพื่อให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์ต่อไป
ขณะเดียวการร้านยาที่จะเข้าร่วมดูแลกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อย จะต้องเป็น “ร้านยาคุณภาพ” ที่ผ่านการอบรมและได้รับใบรับรองจากสภาเภสัชกรรม ซึ่งเป็นการรับรองมาตรฐานของการให้บริการนี้
“การให้บริการ Common illness ในร้านยาถือว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งของงานเภสัชกรรมปฐมภูมิ ทั้งนี้คำว่างาน “ปฐมภูมิ “ ของร้านยานั้น สามารถช่วยได้ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน ฉะนั้นงานตรงนี้เป็นเรื่องของการเข้าถึงในระดับบุคคลที่เจ็บป่วย”
บทบาทการสร้างเสริมสุขภาพฯ ‘ อีกงานหนึ่งของร้านยา เพื่อบริการคนไทยทุกคน ทุกสิทธิ์’
สำหรับบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) สำหรับคนไทยทุกคนทุกสิทธิก็ได้เริ่มแล้วที่ร้านยา เช่น การแจกยาคุมกำเนิด การแจกถุงยางอนามัย ฯลฯ รวมไปถึงการคัดกรองความเสี่ยงโรคเมตาบอลิกฯ จะขยายไปทั่วประเทศ แต่ขณะนี้อาจจะยังไม่พร้อม 100 % เนื่องจากต้องเตรีมการหลายอย่างเพื่อการให้บริการที่ดีและมีคุณภาพ ทั้ง ระบบ การขึ้นทะเบียนหน่วยบริการ ฯ และการลงโปรแกรมการใช้งานต่างที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ร้านขายยากำลังทะยอยสมัครเข้ามาร่วมอย่างต่อเนื่อง
“งานสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ในปี 66 ของ สปสช.” นอกจากจะเป็นเรื่องการคัดกรองความเสี่ยงต่างๆแล้ว ยังมีการแจกยาเม็ดคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย ยาเม็ดเสริมธาตุเหล็ก ชุดตรวจการตั้งครรภ์ การทำงานของร้านยาไม่ใช่แจกอย่างเดียว แต่ต้องมีการให้ความรู้แก่ประชาชนด้วย
รวมไปถึงการคัดกรองก็ต้องมีเกณฑ์ไม่ใช่แค่บอกว่าเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง ถ้าเสี่ยงน้อยก็ต้องให้ความรู้ คำแนะนำ เพื่อไม่ให้เขาก้าวเข้าสู่การเป็นโรค แต่ถ้าเสี่ยงแล้ว และมีอาการ หรือค่อนข้างแน่ใจจากการคัดกรองว่าเสี่ยง ต้องแนะนำส่งต่อไปยังหน่วยบริการที่มีศักยภาพในการตรวจติดตามต่อไป”
ร้านยาที่จะให้บริการสร้างเสริมสุขภาพนี้ จะใช้มาตรฐาน Good pharmacy practice (GPP) ของสำนักงานคณะกรรมการอาหาร (อย.) แต่ทุกร้านฯ ก็จะต้องผ่านการอบรมกับสภาเภสัชกรรมก่อนให้บริการเช่นเดียวกัน
งานบริการทั้งหมดที่กล่าวมาจะเป็นการพิสูจน์ให้ประชาชนได้เห็นบทบาทของ “ ร้านยา ”ที่สามารถช่วยเติมระบบสุขภาพของประเทศ ทำให้ประชาชนสามารถการเข้าถึงบริการต่างๆของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้สะดวกและทั่วถึงอย่างมีคุณภาพ
- 2079 views