ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

การฉีด Botulinum Toxin A (BoNT-A) หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในนาม "โบท็อก" เป็นวิธีการเสริมความงามที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก นับตั้งแต่ ค.ศ.1999 อีกทั้งยังเป็นตัวเลือกในการรักษาลำดับต้นๆ สำหรับโรคหลายอย่าง เช่น คอบิดเกร็งและภาวะกล้ามเนื้อแขนขาหดเกร็ง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การใช้โบท็อกเพื่อ "เสริมความงาม" ในทั่วโลกได้เกิดความนิยมและนำไปใช้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเทรนด์ของการ "ฉีดโบท็อก" กำลังมาแรงในหมู่คนที่อายุยังน้อย อีกทั้งปัจจัยรายได้ที่เพิ่มขึ้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนมีแนวโน้มเข้ารับบริการในคลินิกเสริมความงามสูงขึ้น

แม้จะเป็นที่ทราบดีว่าผลจากการใช้โบท็อกนั้น จะอยู่เพียงชั่วคราวและสลายไปตามกาลเวลา จึงต้องมีการกลับมาฉีดซ้ำเฉลี่ยทุก 3-6 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่จากงานวิจัยล่าสุดของกลุ่มธุรกิจความงาม Merz Aesthetics และบริษัทที่ปรึกษา Frost & Sullivan กำลังพบว่าประสิทธิผลของการใช้โบท็อกกำลังลดลงอย่างน่าตกใจ

จากงานวิจัยผู้บริโภคที่ดำเนินการสองครั้งในปี 2561 และ 2564 พวกเขาพบว่ามีคนจำนวนเพิ่มมากขึ้น (จาก 69% เป็น 79% ตามลำดับ) ที่ยืนยันว่าประสิทธิผลของการใช้โบท็อกนั้นลดลง และคนไข้ส่วนใหญ่ก็จะเลือกแก้ไขปัญหาโดยการไปฉีดซ้ำ "บ่อยขึ้น" ในปริมาณที่ "มากขึ้น"

1

ผลลัพธ์นี้นำมาสู่ข้อกังวลของกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามจากนานาประเทศ ที่ได้ร่วมกันลงฉันทามติถึง "อุบัติการณ์การดื้อต่อโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ" ของคนไข้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเผยแพร่ออกมาเป็นเอกสารทางวิชาการในปี 2565 นี้

"ดร.วิลสัน โฮ" แพทย์ศัลยกรรมพลาสติกจากฮ่องกง และหนึ่งในผู้เขียนบทความฉันทามติ ระบุว่า ความจริงแล้วการเกิดภูมิคุ้มกันที่ต่อต้าน BoNT-A เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการประสาทวิทยา แต่เคสที่ได้รับการรายงานส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้จะเกี่ยวข้องกับการรักษาทางระบบประสาท ซึ่งมีขนาดการใช้ยาสูงกว่าที่ใช้เพื่อการเสริมความงามอย่างมาก

ทว่าแนวโน้มปัจจุบัน การใช้โบท็อกเพื่อเสริมความงามที่ขยายอย่างรวดเร็ว ไปสู่การใช้ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม รวมทั้งส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้ขนาดยาที่ใช้ในการเสริมความงาม อาจสูงได้เท่ากับที่ใช้ในการรักษาทางการแพทย์ และนั่นทำให้ความเสี่ยงที่คนไข้จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้าน BoNT-A หรือว่าการ "ดื้อโบท็อก" ก็จะเพิ่มมากขึ้น

"เรากำลังเรียกร้องให้แพทย์และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันมีบทบาทในการลดปัจจัยความเสี่ยงต่อภาวะดื้อ BoNT-A โดยขอให้พิจารณาประวัติการรักษาของคนไข้อย่างละเอียด ใช้สูตร BoNT-A ในขนาดที่ต่ำที่สุดเท่าที่ทำให้เกิดผล รวมทั้งเว้นระยะเวลาการใช้ให้เหมาะสม จึงจะช่วยจำกัดการสร้างภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านได้" ดร.วิลสัน ระบุ

ในเวทีเสวนาที่ Merz Aesthetics จัดขึ้นที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2565 เหล่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามก็ได้เข้ามาร่วมกันให้ภาพถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น "ดร.นีม คอร์ดัฟ" ศัลยแพทย์ตกแต่งจากออสเตรเลีย ระบุว่า อุบัติการณ์นี้ทำให้เราเห็นว่าคนไข้ที่ใช้โบท็อกเพื่อเสริมความงาม กำลังต้องการจำนวนโดสที่มากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายก็สูงขึ้นตาม

"แต่สิ่งที่ซีเรียสยิ่งกว่าคือผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เมื่อเขาเหล่านั้นจำเป็นต้องใช้โบท็อกเพื่อรักษาอาการอื่นๆ ในอนาคต หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น" ดร.นีม ระบุถึงข้อห่วงใย

ฝั่ง "รศ.ดร.วาสนภ วชิรมน" แพทย์เฉพาะทางผิวหนังจากไทย ระบุเช่นกันว่าปัจจุบันมีคนให้ความสนใจในการฉีดโบท็อกเพื่อเสริมความงามมากขึ้น แม้แต่คนรุ่นใหม่ที่อาจยังไม่ได้มีริ้วรอยหย่อนคล้อย แต่ก็แสวงหาตัวช่วยเพื่อ "ชะลอ" การแก่ตัวตั้งแต่ต้น

แพทย์จากประเทศไทยยอมรับว่า แม้ตอนนี้เราจะยังไม่มีตัวเลขที่แน่ชัด แต่การดื้อโบท็อกนั้นเป็นความจริงที่ทุกคนรับรู้ ด้วยคนไข้หลายรายที่กลับมาสะท้อนว่าการฉีดที่เคยได้ผล ปัจจุบันได้ผลน้อยลง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคนไข้ที่เคยทำการฉีดมาก่อน ส่วนคำแนะนำเท่าที่มีในตอนนี้ คือการเลือกฉีดโบท็อกที่มีความ "บริสุทธิ์" มากที่สุด

"ดร.เจยอง พัค" แพทย์ผิวหนังจากเกาหลีใต้ เสริมข้อมูลว่า คนไข้กลุ่มเสริมความงามนั้น มีเส้นทางการรักษาที่ต่างไปจากคนไข้ปกติ คือแทนที่จะรับการรักษาต่อเนื่องที่เดิม แต่สำหรับคนไข้เสริมความงามเมื่อเริ่มรู้สึกว่าไม่ได้ผล การรักษาไม่ตอบสนองเหมือนที่เคย ก็มักจะทำการเปลี่ยนสถานที่รักษาไปเรื่อยๆ ซึ่งนี่เองเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ต่อเนื่องเพียงพอที่จะสะท้อนถึงสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น

ด้าน "รศ.ดร.พาซิฟิโก้ คาล-ดรอน" หัวหน้าภาควิชาความตระหนักในศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพแพทย์และการปฏิบัติตามจริยธรรมทางการแพทย์ จากฟิลิปปินส์ ระบุว่า เป็นหน้าที่ของแพทย์ที่จะต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสาร ให้คนไข้เข้าใจถึงผลลัพธ์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน และมองถึงภาพที่จะเป็นในระยะยาว อย่าไปดำเนินการเพื่อหวังผลลัพธ์ในระยะสั้นเพียงอย่างเดียว