ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คกก.กู้ชีพฉุกเฉิน วุฒิสภา แท็กทีม สสส. ติดตามคดีรถชนนักเรียนสันติราษฎร์เจ็บ 3 ราย ถอดบทเรียนแก้ปัญหาก่อนเกิดเหตุซ้ำ วอนแก้กฎหมายจราจรเพิ่มโทษให้หนัก ไม่หยุดรถให้คนข้ามถนนถือเป็น "เจตนา"


เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2565 คณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า และเยี่ยมนักเรียน 3 ราย ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุรถยนต์ชนขณะข้ามถนนบนทางม้าลาย หน้า ร.ร.สันติราษฎร์วิทยาลัย เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา พร้อมจัดกิจกรรมติดป้ายประชาสัมพันธ์ “ขอบคุณที่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย #ความดีที่คุณทำได้” บริเวณหน้าโรงเรียน เพื่อส่งเสริมการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย

นายคณวัฒน์ วงศ์แก้ว ที่ปรึกษาด้านระบบงานนิติบัญญัติ กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา เปิดเผยว่า ตนขอให้กำลังใจนักเรียนที่ ประสบอุบัติเหตุทั้ง 3 คน ซึ่งขณะนี้ทางคณะกรรมการกู้ชีพ วุฒิสภาฯ ได้มอบหมายให้ภาคีมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว จัดทีมทนายเข้าให้ความช่วยเหลือ ติดตามความก้าวหน้าของคดีอย่างใกล้ชิด

ในส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหา ตามที่มีข้อสรุปจากการลงพื้นที่ ของนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินฯ ร่วมกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ทั้งส่วนสำนักงานเขตราชเทวี สำนักจราจรและขนส่ง กทม. เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่าน ขอให้ดำเนินการแก้ไข 2 จุด

ทั้งนี้ ได้แก่ 1. บริเวณปากทางเข้าโรงเรียน ให้มีการติดเครื่องหมายเตือนให้ระวังให้ชัดเจน ก่อนเลี้ยวทางม้าลาย เพื่อให้ผู้ที่ขับรถออกจากซอยชะลอความเร็วและขับขี่ด้วยความระมัดระวัง 2. ทางสำนักงานเขตราชเทวี ดำเนินการปรับฟุตบาทบริเวณทางม้าลาย ไม่ให้มีสิ่งกีดขวาง บดบังการมองเห็น ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้  

สำหรับกรณีที่มีการร้องขอให้ติดตั้งสัญญาณไฟจราจรหน้าโรงเรียนนั้น ได้มีการเสนอต่อผู้ว่าราชการ กทม. ซึ่งได้รับเรื่องไปแล้ว แต่อาจจะต้องรอคิวที่จะดำเนินการเพราะประเทศไทยยังมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ทางผู้ตรวจการแผ่นดินจะเข้ามาดูแลเรื่องการบังคับใช้กฎหมายด้วย มีการผลักดันให้แก้ไขกฎหมายจราจร มีการลงโทษ มีการตัดแต้ม เป็นต้น

1

น.ส.รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทาง สสส. กล่าวว่า จากการเก็บข้อมูลบริเวณทางม้าลาย 12 จุดในพื้นที่ กทม. พบว่ามีรถหยุดให้คนข้ามถนนเพียง 8-9% และ สำรวจอีกครั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม พบว่า มีการหยุดรถให้คนข้ามถนนเพิ่มขึ้นมาเป็น 12% ถึงจะไม่ได้เยอะแต่ก็ได้เห็นถึงพัฒนาการ

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ ต้องทำเพื่อลดความสูญเสียให้ได้ คือ 1. การหยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย และฝึกฝนให้เด็กมองซ้าย มองขวาก่อนข้ามทางม้าลาย 2. จำกัดการใช้ความเร็วบริเวณหน้าโรงเรียน หรือพื้นที่ชุมชน ไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 3. การสวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับและคนซ้อน อย่าคิดว่าเป็นการเดินทางระยะสั้นๆคงไม่เป็นอะไร

"การแก้ปัญหาอุบัติเหตุจราจรให้สำเร็จ ทุกฝ่ายต้องร่วมกัน อยากให้กรณีนี่เป็นกรณีตัวอย่าง ว่าเวลาเกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นจะต้องมีการสืบค้นสาเหตุที่แท้จริงมีปัจจัยอะไรบ้างที่เข้ามาเกี่ยวข้องและควรจะแก้ไขอย่างไร แล้วนำมาพัฒนาระเบียบข้อบังคับต่างๆ กฎกติกาในการอยู่ร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก" น.ส.รุ่งอรุณ ระบุ

น.ส.รุ่งอรุณ ระบุอีกว่า เนื่องจาก กทม.ถือพื้นที่เกิดอุบัติเหตุระหว่างข้ามถนนเยอะที่สุดตลอดทั้งปี ตอนนี้ต้องมาทบทวนกฎระเบียบกติกากฎหมายมีช่องว่างอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะกฎหมายจราตรที่ระบุว่าเป็นความประมาทนั้นจากนี้ จะต้องมีการกำหนดความผิดให้ชัดเจน รวมถึงภูมิทัศน์ต้องปรับปรุงหรือไม่ เพื่อความปลอดภัย

2

ขณะที่ คุณแม่น้องพลอย หนึ่งในผู้ประสบอุบัติเหตุรถชน กล่าวว่า เหตุการณ์วันที่น้องพลอยโดนรถชน แม้จะร่างกายจะไม่เป็นอะไรมาก แต่สภาพจิตใจค่อนข้างย่ำแย่ น้องพลอยต้องนอนร้องไห้อยู่หลายคืน ช่วงระหว่างวัน นั่งรถไปโรงเรียน ฝนตก ฟ้าร้องก็มีความวิตกกังวล ร้องไห้ตลอด ในขณะที่คู่กรณี นับตั้งแค่วันเกิดเหตุ ตลอดจนการที่ต้องพบเจอกันเพื่อดำเนินการทางคดีกลับไม่เคยแสดงความรับผิดชอบด้วยการขอโทษ ไม่ไปดูแลที่โรงพยาบาล ระบุเพียงว่าการจ่ายชดเชยค่าเสียหายแล้ว คือการชดเชยให้แล้ว

"แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เราเพียงแค่ต้องการเห็นการแสดงความจริงใจดูแลผู้ประสบเหตุ จึงผิดหวังมาก อยากเรียกร้องให้มีบทลงโทษผู้กระทำผิดให้หนักขึ้น กรณีมีการยกธงขอข้ามถนนทางม้าลาย หรือลงมาตรงทางม้าลายแล้ว แต่คนยังไม่ยอมหยุดรถ ซึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของความประมาทแล้ว แต่เป็นการเจตนาชัดเจน" คุณแม่น้องพลอย ระบุ

3

นางธัญจิรา โชติพงศ์กุล ผู้อำนวยการโรงเรียนสันติราษฎร์ กล่าวว่า ในวันที่เกิดเหตุทางโรงเรียนแล้วรีบเข้าไปให้การช่วยเหลือ ส่วนหนึ่งไปดูแลนักเรียนที่โรงพยาบาล ประสานผู้ปกครอง และอีกส่วนหนึ่งไปติดตามที่สถานีตำรวจเพื่อติดตามความคืบหน้าทางคดี อีกทั้งปัจจุบันทางโรงเรียนต้องทำงานหนักขึ้น มาโรงเรียนเร็วขึ้น เพื่อดูแลความเรียบร้อย

"กังวลว่าเพราะกลัวว่าหากยังไม่ถึงเวลาที่ครูเวรมาแล้ว เด็กเจออุบัติเหตุแล้วใครจะดูแลเขา เพราะขนาดวันที่เกิดเหตุ ครูอยู่กันเยอะแยะ คู่กรณียังไม่คิดจะลงมาดูแล อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากจะขอเรียกร้องต่อคณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินฯ คือ ขอเพิ่มสัญญาไฟจราจรให้นักเรียนกดเพื่อขอข้ามถนน เพราะการใช้ธงโบกนั้นยังถูกตั้งคำถามว่ามีสิทธิอะไรมาทำเช่นนี้ ทำให้ยังมีคนฝ่าฝืนไม่หยุดรถให้เด็กข้ามถนน" นางธัญจิรา ระบุ

ด้าน น้องพลอย กล่าวว่า ขอผู้ใช้รถใช้ถนนมีสติในการขับรถ ขออย่าเล่นโทรศัพท์ ขับรถดีๆ ส่วนตัวเองหลีงเกิดอุบัติเหตุขึ้นนั้นไม่ได้กลัวแล้ว แต่ยังมีความกังวล เพราะยังต้องเดินทางข้ามถนนทุกวัน

4