การขยับขับเคลื่อนระบบสุขภาพปฐมภูมิ นับเป็นอีกหนึ่งจุดมุ่งหมายที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตั้งเป้าจะพัฒนา หากดูจากนโยบาย 214 ข้อบนหน้าเว็บไซต์ของนายชัชชาติแล้วจะพบว่ามีนโยบายเรื่องการขับเคลื่อนเรื่องสุขภาพอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ดีทางฟากฝั่งของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่เป็นอีกหนึ่งกลไกในระบบบริการปฐมภูมิ ในฐานะผู้สนับสนุนงบประมาณก็พร้อมที่จะสนับสนุนเม็ดเงิน บนหลักคิดที่ว่านำประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง และหาก กทม. พร้อมขยายพัฒนาระบบปฐมภูมิเมื่อไหร่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ก็พร้อมที่จะตอบสนองนโยบายทันที
คน กทม. ยังเข้าไม่ถึงบริการปฐมภูมิ
นพ.จเด็จ ระบุว่า จากข้อมูลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าประชาชนใน กทม. เข้าไม่ถึงบริการ โดยเฉพาะบริการง่ายๆ อย่างปฐมภูมิ และเกินครึ่งไม่ทราบว่าสิทธิการรักษาอยู่ที่ไหน หากเกิดการเจ็บป่วยเล็กน้อยส่วนมากจะมุ่งไปที่ร้านยาเพื่อซื้อยาทานเอง หรือคิดว่าเมื่อเจ็บป่วยแล้วจะต้องไปโรงพยาบาลใหญ่ หรือโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์
นั่นจึงเกิดคำถามขึ้นว่า คน กทม. โชคร้ายกว่าคนต่างจังหวัดหรือไม่ เพราะในพื้นที่ต่างจังหวัดประชาชนยังรู้ว่ามีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ฉะนั้นแล้วจึงต้องมุ่งเน้นระบบปฐมภูมิในเขตเมืองหลวง
ขณะเดียวกันสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา โรงพยาบาลหลายแห่งเตียงเต็ม และเกิดปรากฏการณ์การเสียชีวิตที่บ้าน เพราะไม่มีเตียงพอที่จะรองรับ จนเกิดเป็นระบบรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation :HI) หรือการรักษาแบบผู้ป่วยนอกในที่สุด
ทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้หลายคนมองว่า “ทำไมถึงไม่มาดูระบบปฐมภูมิในเขตเมืองหลวง”
“ตรงนี้เป็นจุดสำคัญด้วยข้อมูลที่มีอยู่ แล้วก็เห็นปรากฏการณ์ในช่วงโควิด และเมื่อมีการเลือกตั้งเข้าใจว่าทางผู้สมัครผู้ว่าหลายคนก็พูดถึงประเด็นนี้ ซึ่งแม้ว่าจะพูดเรื่องปฐมภูมิ แต่ชาวบ้านบางส่วนก็ไม่เข้าใจความหมาย”
อย่างไรก็ดี การจะบอกว่าบริการปฐมภูมิคืออะไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับนิยาม ร้านยาก็ถือว่าเป็นหน่วยปฐมภูมิ เช่นเดียวกับการรักษาตัวเองที่บ้าน ขณะเดียวกันท่ามกลางเทคโนโลยีมากมายที่เกิดขึ้นแต่กลายเป็นว่าประชาชนไม่เคยทราบเรื่องหน่วยบริการปฐมภูมิ
นพ.จเด็จ ขยายความว่า ทุกปีจะมีประชาชนประมาณ 2 ล้านคนที่ สปสช. ลงทะเบียนให้โดยที่ประชาชนไม่รู้ตัว ตรงนี้ถือเป็นจุดอ่อนเพราะไม่เคยมีการเข้ามาแสดงสิทธิ หากเทียบกับระบบประกันสังคมยังแล้วยังสู้ไม่ได้
ส่วนนี้เองทำให้จะเกิดเป็นนโยบายใหม่ในอนาคต คือการให้ประชาชนเลือกหน่วยบริการได้เอง และก็จะทำให้ทราบเลยว่าแต่ละคนทีสิทธิอยู่ที่หน่วยบริการใด ซึ่งถือเป็นความท้าทายอีกหนึ่งเรื่อง
“การไปรับบริการของผู้ป่วยทั่วประเทศประมาณ 3.8 ครั้งต่อคนต่อปี แต่สำหรับ กทม. 1.1 ครั้งต่อคนต่อปี มันจึงทำให้เราเห็นว่าวันนี้ไม่ว่านโยบายระดับการเมืองหรืออะไรก็แล้วแต่ที่พูดถึงปฐมภูมิในเขตเมืองเราเห็นด้วย” นพ.จเด็จ ระบุ
ตรงนี้อาจจะเป็นสิ่งที่จะต้องช่วยกันเสริมต่อไปว่าของดีไม่จำเป็นต้องราคาแพง เพราะก็มีของดีที่ราคาเหมาะสมอยู่
ปรับบทบาท สปสช. กลายเป็นผู้สนับสนุน
สิ่งหนึ่งที่ สปสช. ยังจำเป็นต้องเสริม นั่นคือยังไม่มีหน่วยบริการเพียงพอที่จะรองรับประชาชน เนื่องจากในขณะนี้มีจำนวนคลินิกชุมชมอยู่ประมาณ 200 แห่ง แต่ นพ.จเด็จ ระบุว่า ยังไม่พอ อย่างน้อยต้องมี 500 แห่งเป็นอย่างต่ำ
นั่นเป็นเพราะเมื่อนับแล้วจะมีประชาชนประมาณ 2 ล้านคน ที่มีทะเบียนบ้านอยู่ใน กทม. ยังไม่นับรวมประชาชนที่มาจากต่างจังหวัดและยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอีกนับล้านคน
ตรงนี้จะสอดคล้องกับการที่ กทม. จะเข้ามาเป็นเจ้าภาพระบบบริการปฐมภูมิในเขตเมืองหลวง และ สปสช. เองก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของ สปสช. คือการหาเอกชนเข้ามาร่วม ขณะเดียวกันใน กทม. ก็จะมีศูนย์บริการสาธารณสุข ภายใต้สำนักอนามัย แต่ สปสช. จะปรับบทบาทใหม่นั่นคือการเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณที่จะเกิดขึ้นผ่านบริการคลินิก เพราะที่ผ่านมา สปสช. ถูกมองว่าเป็นผู้มีปฏิสัมพันธ์กับคลินิกชุมชนอบอุ่น แต่ในความเป็นจริงแล้วคือศูนย์บริการสาธารณสุข
“รูปแบบนี้คือรูปแบบใหม่ที่เราจะทำเราพยายามจะถอยบทบาทการจัดบริการเข้ามาทำบทบาทของการสนับสนุนงบประมาณโดยที่เราอยากให้เขาสร้างเป็นเครือข่ายทำงานร่วมกันด้วยการเอาประชาชนเป็นที่ตั้งนี่คือทฤษฎี ก็คิดว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ในอนาคตก็อาจจะต้องทำต่อไป” นพ.จเด็จ กล่าว
สปสช. พร้อมสนองนโยบายผู้ว่าฯ ทันที
จากนโยบาย 214 ข้อของนายชัชชาติ ที่ออกมานั้น นพ.จเด็จ บอกว่า เมื่อดูแล้วจะพบว่ามี 9 ข้อที่เกี่ยวกับบริการสาธารณสุข และ สปสช. สามารถสนับสนุนได้หมดแน่นอน เช่น การจะขยายการตรวจนอกเวลาของศูนย์บริการสาธารณสุข การบริการโมบายรถสุขภาพเชิงรุก หรือรถโมบายเพื่อให้บริการผู้ป่วยในชุมชน ซึ่งมองว่าหากจะทำเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคร่วมด้วยก็ยังได้ และ สปสช. ก็ยินดีที่จะสนับสนุนเงินให้
จากการศึกษานโยบายอย่างละเอียด พบว่าในทุกข้อไม่ได้มีข้อขัดแย้งกับกลไกของ สปสช. และจากการพูดคุยกับฝั่ง กทม. สปสช. ก็ได้นำนโยบายทั้งหมดเข้าคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข (สธ.) เป็นประธาน และคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ (อปสข.) ใน กทม. เป็นที่เรียบร้อย
“ให้เราไปเป็นเจ้าภาพในบางบทบาทอาจจะไม่ใช่ เพราะเราเป็นคนสนับสนุนงบประมาณ เรายินดีสนับสนุนการนำของท่านผู้ว่า กทม. และจะทำกลไกทุกอย่างเพื่อทำให้นโยบายของท่านสำเร็จ”
สิ่งหนึ่งคืออยากให้ความมั่นใจว่า สปสช. ไม่ใช่ตัวอุปสรรค เพราะจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่มักจะพูดกันว่าติดอยู่ที่ สปสช. ฉะนั้น นพ.จเด็จ จึงบอกว่า ตนเองอยู่ตรงนี้ต้องไม่ติด
ทั้งหมดทั้งมวล ตั้งต้นจากประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สปสช. เป็นองค์กรที่ถูกตั้งมาเพื่อทำหน้าที่แทนประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการอย่างมีคุณภาพ รวมไปถึงจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยบริการอย่างเหมาะสม
สำหรับบริการปฐมภูมิใน กทม. เป็นสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น และจะเป็นคำตอบให้แก่ระบบหลักประกันทั่วโลก เพราะบริการปฐมภูมิในเขตเมืองหลวงแทบจะไม่มีประเทศที่เป็นตัวอย่างที่โดดเด่น
“ถ้าเราทำสำเร็จอาจจะยิ่งกว่าอยู่ท็อป 3 ท็อป 1 ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก หรือว่าลอนดอนทุกที่มีปัญหาเรื่อง Primary Care ในเขตเมืองหลวง เพราะมีปัญหาซับซ้อนในเมืองหลวงเยอะ คนจน คนไร้บ้านอย่าคิดว่าเมืองหลวงต้องมีแต่คนรวยเท่านั้น” นพ.จเด็จ ระบุ
นพ.จเด็จ ย้ำว่า สปสช. เป็นผู้สนับสนุน หากวันนี้บริการปฐมภูมิในเขตเมืองหลวงมีเจ้าภาพ สปสช. ก็จะยินดีที่จะเข้าไปสนับสนุนให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะผู้ว่าฯ ก็มีหน้าที่ และความรับผิดชอบที่จะต้องตอบคำถามประชาชน เฉกเช่นเดียวกับ สปสช.
- 505 views