ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

แม้ก่อนหน้านั้นราว 35 ปีก่อน นวนิยายเรื่อง “พันธุ์หมาบ้า” ของนักเขียนรางวัลซีไรต์ “ชาติ กอบจิตติ” ที่ได้รับการตีพิมพ์มาแล้วกว่า 29 ครั้ง จะเคยเผยสภาพสังคมไทยขณะหนึ่ง ถึงความเสรีอย่างไม่เป็นทางการของกัญชามาแล้วก็ตาม ซึ่งพูดถึงความหาซื้อง่ายของ “กัญชา” หรืออีกชื่อคือ “เนื้อ”

แต่ภายหลังเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2565 ซึ่งเป็นวันแรกของประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่ “กัญชาเสรี” (อย่างน้อยหลายคนก็คงคิดแบบนั้น) เนื่องจากมีการประกาศ “ปลดล็อกกัญชา” ออกจากสารเสพติดประเภทที่ 5 โดยคงเหลือไว้เพียงสารสกัดจากกัญชง และกัญชาที่มีปริมาณ THC เกิน 0.2% ที่ยังเข้าข่ายยาเสพติด

1

ปรากฏการณ์นั้นเองที่เป็นชนวนกระตุ้นให้ความอยากรู้อยากลองของผู้คนแตกตัวและลุกลามตามกระแสที่เกิดขึ้น รวมถึงผมในวัยที่ยังอายุไม่ 22 ขวบดีด้วย ซึ่งมักคิดว่าทุกอย่างสามารถควบคุมได้

ดังนั้น ในเย็นวันอังคารที่สามของเดือนเดียวกัน วันนั้นจึงเป็นวันที่ผมลองสูบกัญชาครั้งแรก แต่คงต้องเกริ่นก่อนว่าไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ หรือเตรียมใจมาเพื่อจะลองโดยเฉพาะ เพราะเดิมผมไม่ได้สนใจใคร่รู้เรื่องกัญชาเป็นพิเศษ การรับรู้ก็มีเพียงภาพจำจากสื่อต่างๆ อาทิ หนังสือ ภาพยนตร์ เพลง การ์ตูนล้อเลียน ฯลฯ และคำบอกเล่าถึงอาการจากปากต่อปากทั้งหลายแหล่ที่ล้วนกล่าวตรงกันว่า อารมณ์ดีผิดปกติ หัวเราะง่าย จดจ่ออยู่กับตัวเอง ตาเยิ้ม ฯลฯ

นอกจากนี้  ถ้าในวันนั้นเงื่อนไขต่างๆ ไม่พร้อม กล่าวคือพี่ที่รู้จักไม่ได้สั่งซื้อกัญชาและวัตถุดิบมาไว้ (ซึ่งหาซื้อง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะร้านค้าที่เคยอยู่ใต้ดินและต้องหลบซ่อนผุดขึ้นมาขายได้อย่างถูกต้อง) ด้วยความสัตย์จริงผมก็คงไม่คิดจะลองเหมือนกัน แต่เมื่อมีโอกาสลองจึงมีความคาดหวังเล็กๆ ว่าจะไปถึงอาการที่มีคนเคยเล่าไว้ได้รึเปล่า หรือจะช่วยให้เกิดความสร้างสรรค์ทางความคิดจาการมองหลายสิ่งผิดไปจากสภาวะปกติหรือไม่

สำหรับประสบการณ์สูบครั้งแรกของผม ขอจำกัดความมันว่าคือบทเพลงทางประสาทการรับรู้ เนื่องด้วยผมลิ้มรสมัน 1 ครั้ง นับจากช่วงเย็น และทำสิ่งที่คนในวงการนักสูบเรียกว่าการ “เติม” อีก 2 ครั้ง เพราะว่าครั้งที่ 1 อาการค่อนข้างอ่อนกว่าที่จินตนาการไว้ ฉะนั้นการเติมและเพิ่มปริมาณจึงเป็นไปเพื่อย้ำให้ตนเองไปถึงอาการสูงสุดของการเมากัญชา เพื่อจะได้รู้จักอาการของมันจริงๆ

2

ด้านวัตถุดิบที่ใช้เป็นการผสมดอกกัญชากับใบยาสูบจากบุหรี่หรือว่า “ยำ” นั่นเอง ซึ่งผมได้ความรู้มาเพิ่มจากพี่ผู้เป็นเหมือนอาจารย์บอกว่า ดอกกัญชาที่เอามาให้ลองคราวนี้มี “คุณภาพ” มากกว่า “กัญชาแท่ง” หรือ “เนื้อก้อน” แบบเดิมที่นิยมใช้กันสมัยก่อนปลดล็อก ซึ่งมักไม่มีใครรู้แหล่งที่มาแน่ชัดด้วยข้อจำกัดเรื่องผิดกฎหมาย อีกทั้งเรื่องเล่าถึงคุณภาพที่ไม่ค่อยดี ดังนั้นการปลดล็อกจึงมีผลต่อการเปิดเผยแหล่งที่มาที่เสาะหาได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงเรื่องกลไกตลาดและความคุ้มค่าเข้ามากำกับกระบวนการปลูก ซึ่งจะสังเกตได้ว่าสิ่งที่ถูกขึ้นชื่อว่า “ออร์แกนิค” มักมีราคาและคุณภาพที่สูงกว่าเช่นเดียวกับผักชนิดอื่นๆ

ทั้งนี้ เมื่อเริ่มสูบคำแรกที่เป็นเสมือนการเริ่มของบทเพลงหรือท่อน “Verse” ซึ่งเป็นฉากเริ่มของอาการมึนขึ้นไปถึงสมองและความคิด หมุนวนอยู่ซักครู่และดิ่งลงเหมือนรถไฟเหาะ ไม่รุนแรงเกินไป แต่ให้ความตื่นเต้น รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง รวมถึงรู้สึกยิ้มและหัวเราะง่ายขึ้น พบเจอกับความสุขระหว่างมองสิ่งต่างๆ ได้ละเอียดอ่อนขึ้น

ส่วนการเติมครั้งที่สองเป็นท่อน “Pre-Chorus” อาการจะเหมือนช่วงแรก ทว่าระยะการดำรงอยู่ยาวนานกว่า เพิ่มเติมคือ ภาพที่มองเริ่มเบลอ เห็นสองชั้นซ้อนทับกัน หัวหนักขึ้นต้องการเอนไปพิงกับอะไรซักอย่าง

สุดท้าย บทสรุปของเพลงนี้จะจบแค่ที่ท่อน “Hook” โดยความมึนงงเข้าปกคลุมสมอง ยากจะควบคุมสติ ภาพที่เห็นถูกแยกออกเป็นสามสีเด่นชัดขึ้น ไม่ต้องเดาเลย เพราะว่าสีนั้นคือ แดง เขียว และเหลือง กระบวนการคิดการจดจำลดประสิทธิภาพลงชั่วขณะหนึ่ง เพียงเสี้ยววินาทีเกิดอาการชาซาบซ่านตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่สามารถยันกายให้นั่งได้อีกต่อไป ร่างกายผมอยู่ใต้บงการอย่างแท้จริง

หลังจากนั้น ไม่เกินชั่วเวลาน้ำแข็งละลาย ผมเดินผยุงตัวเองเพื่อไปปล่อยร่างกายลงบนเตียงนอน โดยหวังว่าจะหลับพักผ่อนได้อย่างสนิทเหมือนกับการเมาแอลกอฮอล์ แต่นั้นแหละผมประเมินผิดไป ทั้งคืนนั้นผมกึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่รู้ว่าตัวเองนอนหรือเปล่า จะตื่นก็ไม่เชิง จนถึงเช้าสว่างคาตา ผมรู้สึกถึงความมึนงง ประสาทการรับรู้ช้าลง การจดจ่อกับอะไรซักอย่างเป็นเรื่องยาก ในร่างกายระบุไม่ได้แน่ชัดว่าอวัยวะส่วนใดกำลังปั่นป่วนอยู่ แต่สัมผัสได้จากความไม่เหมือนเดิม ซึ่งกว่าอาการผมจะดีขึ้นกลับมาเป็นปกติได้ก็ราวเที่ยงวันแล้ว โดยผมไม่ได้รู้สึกโหยหาหรืออยากจะสูบมันอีกในเร็ววัน และมีความรู้สึกต่อต้านเล็กในใจด้วยซ้ำไป

3

ทว่า ราว 2 สัปดาห์ต่อมา ผมกลับมีโอกาสได้ลิ้มรสกับมันอีกครั้งจากการเชิญชวนทีเล่นทีจริงของพี่ที่รู้จักคนเดิม ขณะนั้นความรู้สึกต่อต้านเมื่อครั้งก่อนไม่ได้ผุดขึ้นในความคิดผมเลยซักนิดเดียว และจะใช้มันเพื่อรับรสอาการอ่อนๆ แบบ Verse ของครั้งก่อน เพราะเชื่อว่าคงไม่เกินการควบคุม เนื่องจากมีประสบการณ์จากรอบก่อนเรื่องขีดจำกัดของตนเองในการนำไปสู่อาการสูงสุด

อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ตระหนักถึงความต่างของวัตถุดิบและวัสดุที่ใช้ในรอบนี้ ซึ่งใช้ใบจากแทนบุหรี่มวน และผสมกัญชาในสัดส่วนที่มากกว่าเดิม ด้วยใบจากมีขนาดของพื้นที่มากกว่า ดังนั้นการผลิตกัญชามวนเพื่อสูบ จึงมีปริมาณที่มากและอัดแน่นกว่าด้วย ซึ่งแค่เพียงมวนเดียวก็ทำให้ผมเข้าท่อน “Hook” ได้อย่างรวดเร็ว โดยระหว่างสูบสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองและการรับรู้อย่างเห็นได้ชัด อาการที่เคยรู้สึกจากรอบก่อน บังเกิดขึ้นในรอบนี้หนักหน่วงขึ้น และพรั่งพรูอาการต่างๆ หลั่งไหลออกมามากขึ้นเช่นกัน

ความมึนงง สับสน ไร้สมาธิจดจ่อกับสิ่งใด และภาพที่เห็นหมุนวน สีทั้งสามที่เด่นชัดขึ้นจนเกือบกลืนสีอื่นๆ เปลือกตาลดระยะลงมา การมองเห็นพร่าเลือน และประโยคหนึ่งที่ผมพูดกับตัวเองในใจในวันนั้นซ้ำไปซ้ำมาและยังจำมาจนถึงวันนี้คือ เรื่องที่เกิดระหว่างนี้ที่ผมเมากัญชาจะลืมมันแน่นอน เพราะสมองส่วนที่ทำหน้าที่จดจำ ไม่เปิดรับเหตุการณ์ระหว่างนั้นที่เกิดขึ้นรอบตัวเลย มีเพียงอาการที่เข้ามาครอบงำ และกระบวนการคิดลดประสิทธิภาพลงมา ไม่สามารถเอ่ยปากเพื่อคุยกับใครได้ทุกอย่างจุกอยู่ที่คอ เนื่องจากหวาดระแวงว่าสิ่งที่พูดจะไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการสื่อ ผมจึงนั่งเงียบแม้ในใจจะอยากคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่แวดล้อมตัวอยู่ขณะนั้น และระหว่างนั้นผมต้องขึ้นสังเวียนต่อสู้กับอาการภายในเหล่านั้น มีเพียงหนึ่งวินาทีเท่านั้นที่ผมสามารถเป็นปกติได้ อันเกิดจากความพยายามฝืนให้ตนเองมีสติ จากนั้นจะกลับเข้าไปโดนคลื่นความหนักหน่วงของอาการโหมซัดเช่นเดิม เป็นเวลานับไม่ถ้วนที่ผมต้องก้าวออกจากเขตแดนความเมาไปเข้าสู่ความปกติอันน้อยนิด และเป็นเวลา 4-5 ชั่วโมงกับการจมจ่อมอยู่ในอาการเหล่านั้น ทว่า ในแง่อาการที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจากการลองรอบแรก คืออาการง่วงนอนหรือความอยากทิ้งตัวลงเพื่อพักผ่อน กลับไม่ปรากฎในความคิดและความรู้สึกผมเลย กระนั้นพอได้ปล่อยตัวลงนอนหลับแล้ว กลับหลับสนิทและนอนได้อย่างเต็มอิ่มมากกว่าปกติ

4

เมื่อฟื้นตัวในเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลของอาการเหล่านั้น จะเห็นได้ว่าผมไม่พบสิ่งที่ผมคาดหวังไว้เลย นอกจากนี้อาการของ “การลืมเลือน” ระหว่างโดนฤทธิ์ของกัญชาเล่นงานนั้น เป็นสิ่งที่ผมกังวลอย่างมาก และคิดว่าควรจะหยุดใช้มันก่อน เพราะกระบวนการคิด การจดจำ สำคัญมากต่อผม แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในใจลึกๆ ถ้ามีโอกาสก็คงอยากสูบมันอีกครั้ง ซึ่งเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่ผมอธิบายไม่ได้เช่นกัน

สุดท้ายผมก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรที่ผมได้จากการสูบกัญชา อีกทั้งบางอาการซึ่งสร้างความทรมานให้กับผมจนในใจนึกถึงขนาดว่า “ครั้งสุดท้ายแล้ว พอแล้ว” แต่เมื่อผ่านพ้นไปตัวผมก็ยังคงเต็มใจหากมีโอกาสให้สูบอีก และสิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบและคิดเอาเองว่าน่าจะมีประโยชน์มากที่สุดคือการนอนหลับสนิท ส่วนหนึ่งเพราะทึกทักเอาเองว่านั่นทำให้ผมได้พักผ่อนและฟื้นฟูความเหนื่อยล้าได้อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ ผมไม่รู้ว่าบรรดาเพื่อนนักสูบหน้าใหม่แบบผม จะมีอาการเช่นเดียวกันหรือไม่ และเขาเลือกจะใช้มันต่อจนเกิดเป็นประชากรผู้สูบกัญชาเพิ่มขึ้นเหมือนที่หลายคนสมมติฐานไว้ไหม รวมถึงไม่อาจเข้าใจว่านักสูบกัญชาผู้เจนจัดเขาใช้มันเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่ มีแต่คำถามที่ผุดขึ้นเหมือนคอนโดในกรุงเทพ ที่ไม่มีคำตอบแน่ชัด เหมือนกับการเกิดขึ้นของคอนโดนั่นแหละ ทำไมกันนะ…