ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“กรมอุตุนิยมวิทยา” ผนึกกำลัง “กรมอนามัย” ลงนาม MOU บูรณาการดำเนินงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านสาธารณสุข ป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม


เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2565 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รมว.สาธารณสุข (สธ.) ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ “การบูรณาการการดำเนินงาน การพัฒนาวิชาการและวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านสาธารณสุข” ระหว่างกรมอุตุนิยมวิทยา และกรมอนามัย โดยมีผู้ลงนาม ได้แก่ ดร.ชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย พร้อมทั้งผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำประเทศไทย และผู้แทนองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมันประจำประเทศไทยร่วมเป็นพยาน​

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัล    เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สนองนโยบายรัฐบาล โดยมีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่ยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาเป็นข้อมูลขนาดใหญ่ หลากหลาย และมีความสำคัญ ที่นอกจากการนำมาใช้เพื่อการพยากรณ์อากาศ และเตือนภัยธรรมชาติแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอีกหลายด้าน ทั้งการวางแผน ตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำ และในด้านการนำไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของประชาชน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาการให้บริการข้อมูลอุตุนิยมวิทยา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เฉพาะกลุ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต​

ดร.ชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า กรมอุตุนิยมวิทยาได้พัฒนาระบบเตือนภัยค่าดัชนีความร้อน โดยจะใช้ค่าทางอุตุนิยมวิทยา คือ ค่าอุณหภูมิ และค่าความชื้น เพื่อมาคำนวณเป็นค่าดัชนีความร้อน และแสดงผลในรูปของการเตือนภัยเชิงพื้นที่ เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถป้องกันตนเองจากความร้อน และวางแผนกิจกรรม ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม

ด้าน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า จากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นประเด็นที่ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยให้ความสำคัญ ซึ่งการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนนั้นภาคสาธารณสุขเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถดำเนินการได้ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน​

ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายและแผนปฏิบัติการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านสาธารณสุข ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 – 2573) เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานของภาคสาธารณสุขร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยาและสภาพอากาศ ที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการดำเนินงานด้านส่งเสริมสุขภาพ และการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม เช่น การพยากรณ์อากาศ และสื่อสารเตือนภัยสุขภาพที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย รวมถึงการพัฒนาวิชาการ และวิจัยด้านสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ​

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งสภาพอากาศที่ร้อนจัด น้ำท่วม ภัยแล้ง และมลพิษอากาศ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและวิถีชีวิตประชาชน ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิต โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะมีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต โดยระหว่างปี 2573 – 2593 หากไม่มีมาตรการป้องกันจะมีผู้เสียชีวิตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้นปีละ 250,000 ราย ด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ โรคนำโดยแมลง โรคจากความร้อน โรคอาหารและน้ำเป็นสื่อ รวมทั้งการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากภัยพิบัติต่างๆ 

ดังนั้น จึงเกิดเป็นการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพดังกล่าว และสำหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ จะช่วยสร้างความเข้มแข็งระหว่าง 2 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันดำเนินงานโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การลด และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ซึ่งสอดคล้องตามเป้าหมายแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน