‘รพ.รามาธิบดี’ ดัน 3 แนวคิด พัฒนา ‘นวัตกรรมการแพทย์ยุคใหม่’ เพื่อสุขภาพคนไทยที่ยั่งยืน

รพ.รามาธิบดี ผลักดัน 3 แนวคิด สร้างแพทย์-วิจัย-รักษาและสร้างสุขภาพ พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อสุขภาพคนไทยที่ยั่งยืน-ขับเคลื่อนการแพทย์ไทยให้ก้าวหน้า พร้อมดันโครงการเพื่อผู้สูงวัยและผู้ป่วยระยะท้าย รองรับสังคมผู้สูงวัย สร้างศูนย์ต้นแบบการดูแลสุขภาวะผู้สูงอายุครบวงจร

ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดีฯ เปิดเผยภายในงานแถลงข่าวเนื่องในวันรามาธิบดี 3 พ.ค. 2565 เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2565 ว่า ระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ให้การดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยมากกว่า 2 ล้านคนต่อ และผลิตบุคลากรการแพทย์ เช่น แพทย์ พยาบาล รวมไปถึงแพทย์และพยาบาลเฉพาะทาง นักวิทยาศาสตร์ฉุกเฉินการแพทย์ และนักเวชศาสตร์สื่อความหมายได้มากกว่า 18,000 คน กระจายกันดูแลผู้ป่วยในสังคมทั่วประเทศแล้ว

สำหรับสิ่งที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเน้นย้ำอยู่เสมอนั่นคือ การให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเท่าเทียม เพราะผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ รวมไปถึงมีการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์อยู่เสมอ เพื่อการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างครอบคลุมและขับเคลื่อนวงการแพทย์ไทยให้ก้าวหน้าต่อไป

ทั้งนี้ ความหมายของ 3 หัวใจสำคัญของนวัตกรรมทางการแพทย์ที่รามาธิบดีมุ่งเน้นพัฒนา

ประกอบด้วย 1. ด้านการสร้างแพทย์ จัดทำ 2 หลักสูตรร่วมกับ 2 คณะของมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อรับมือกับยุค Disruption และตอบสนองความสนใจที่หลากหลายของนักศึกษาแพทย์ โดยร่วมมือกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ผลิต “แพทย์นวัตกร” ซึ่งเป็นแพทย์ที่มี 2 ปริญญา ได้แก่ หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต และวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับวิทยาลัยการจัดการ ในการผลิต “แพทย์นักบริหาร” เพื่อส่งเสริมให้แพทย์มีทักษะและความพร้อมในการบริหารจัดการโรงพยาบาล และองค์กรด้านสาธารณสุขตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระดับประเทศ รวมถึงมีหลักสูตรผลิต “นักฉุกเฉินการแพทย์ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา – Sport Paramedic” เป็นหลักสูตรร่วมระหว่างภาควิชาฉุกเฉินการแพทย์ และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา 

2. ด้านการวิจัย พัฒนาองค์ความรู้ด้านโรคที่รักษายาก ผ่านการพัฒนานวัตกรรมและการวิจัย ซึ่งตัวอย่างงานวิจัยที่โดดเด่น เช่น การวิจัยด้านนวัตกรรมสร้างอวัยวะเทียมที่มีชีวิต (Tissue Regeneration) ทำให้เกิดการผลิตกระดูกเทียมเยื่อหุ้มสมองเทียม การรักษาโรคด้วยเม็ดเลือดขาวซึ่งกระตุ้นภูมิต้านทานต่อเซลล์มะเร็ง การปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ตับ และไต

สำหรับไตได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 2.9 พันราย ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประเทศไทย การปลูกถ่ายอวัยวะตับจากพ่อแม่สู่ลูกที่มีภาวะตับวาย โดยทำสำเร็จเป็นรายแรกในประเทศไทย เปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมโดยไม่ต้องผ่าตัด และนวัตกรรมรักษาลิ้นหัวใจรั่วด้วยการใช้คลิปหนีบ

3. ด้านการรักษาและสร้างสุขภาพ รามาธิบดีมีการส่งเสริมแนวทางการรักษาโรคและดูแลสุขภาพในการแพทย์ยุคใหม่ ที่ตอบโจทย์ความท้าทายเชิงระบบ โดยมีแนวคิดว่าการรักษาหลายอย่างสามารถทำได้ที่ “บ้าน” ซึ่งตัวอย่างนวัตกรรมการรักษาที่โดดเด่น ได้แก่ นวัตกรรมระบบการให้บริการผู้ป่วยนอกผ่าน Telemedicine ซึ่งคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นผู้นำด้านนี้

ทั้งนี้ ยังรวมถึงนวัตกรรมเคมีบำบัดที่บ้านสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ที่ช่วยให้เกิดการรักษาด้วยเคมีบำบัดอย่างตรงเวลาและลดการใช้เตียงในโรงพยาบาล นำมาสู่การผลักดันเชิงนโยบายสาธารณสุขของประเทศไทย และส่งผลให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายเชิงสาธารณสุขอย่างมาก

น.ส.พรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า บทบาทสำคัญของมูลนิธิรามาธิบดีฯ คือการเป็นสะพานบุญแห่งการให้ เพราะการให้สร้างความสุขทั้งต่อผู้ให้และผู้รับ มูลนิธิฯ ยังคงเดินหน้าส่งต่อน้ำใจและการช่วยเหลือจากผู้ให้ไปสู่ผู้ป่วย ผ่านโครงการต่างๆ ทั้งในรูปแบบของการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล การจัดหาเครื่องมือแพทย์ การสนับสนุนงานวิจัย การก่อสร้างอาคารสถานที่เพื่อขยายศักยภาพการรับรองดูแลผู้ป่วย ซึ่งทั้งหมดนี้มุ่งหวังให้ผู้ป่วยให้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกระดับชั้น และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนในภาพรวม

อย่างไรก็ดี ในปีนี้มูลนิธิฯ มีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการการผลักดันให้เกิดโครงการนวัตกรรมการแพทย์เพื่อผู้สูงวัยและผู้ป่วยระยะท้าย เพื่อรองรับสังคมแห่งผู้สูงวัย โดยโครงการนี้ได้มีการพัฒนานวัตกรรมในการสร้างศูนย์ต้นแบบการดูแลสุขภาวะผู้สูงอายุอย่างครบวงจร โดยหวังว่าจะดูแลผู้คนในทุกช่วงวัยให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีจนนาทีสุดท้าย ซึ่งจะผลักดันให้เป็นศูนย์ต้นแบบการเรียนรู้ต่อไป

“โครงการต่างๆ ของรามาธิบดีที่กล่าวมานี้จะไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาชน ในนามของมูลนิธิเราจึงมุ่งมั่นทำงานเพื่อสานต่อการให้ที่ยิ่งใหญ่นี้ให้คงอยู่ในสังคมสืบต่อไป” น.ส.พรรณสิรี กล่าว