ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

วารสาร New England Journal of Medicine เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2565 แสดงผลการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ของวัคซีน mRNA-1273 (โมเดอร์น่า) และวัคซีน BNT162B2 (ไฟเซอร์) ในประเทศกาตาร์ โดยทำการประเมินอุบัติการณ์ของการติดเชื้อโควิด-19 หลังจากการได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ช่วงระหว่างวันที่ 21 ธ.ค. 2563 - 20 ต.ค. 2564

จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนโมเดอร์น่า ครบ 2 เข็ม จำนวน 192,123 ราย มีจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 878 ราย มีเพียง 3 รายที่มีอาการรุนแรงต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่ไม่พบรายที่รุนแรงขั้นวิกฤติหรือนำไปสู่การเสียชีวิต

ขณะที่ในกลุ่มของผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ ครบ 2 เข็ม จำนวน 192,123 ราย มีจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 1,262 ราย มี 7 รายที่มีอาการรุนแรง และ 1 รายที่เสียชีวิต โดยการติดเชื้อที่เกิดขึ้นภายหลังจากการได้รับวัคซีนครบแล้วทั้งสองกลุ่มจะมีความสัมพันธ์กับภูมิคุ้มกันที่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

ทั้งนี้ จากการติดตามผลหลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ไปแล้วเป็นระยะเวลา 6 เดือน พบว่าในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนโมเดอร์น่า มีอุบัติการณ์สะสมของการติดเชื้ออยู่ที่ 0.59% ส่วนกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ จะมีอุบัติการณ์สะสมของการติดเชื้อภายหลังจากได้วัคซีนนั้นสูงกว่า อยู่ที่ 0.84%

นอกจากนี้ยังพบว่าในกลุ่มประชากรที่ได้รับวัคซีนโมเดอร์น่า จะพบอุบัติการณ์ของการติดเชื้อโควิด-19 และการติดเชื้อชนิดที่รุนแรงต่ำกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ โดยความแตกต่างของวัคซีนทั้งสองนี้จะเริ่มแสดงให้เห็นตั้งแต่ได้รับวัคซีนเข็มแรกผ่านไปแล้ว 3 สัปดาห์

โดยสรุปแล้วรายงานการศึกษานี้ ได้ตอกย้ำว่าวัคซีน "โมเดอร์น่า" จะพบอุบัติการณ์การของการติดเชื้อภายหลังการได้รับวัคซีนที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับวัคซีน "ไฟเซอร์" ซึ่งมีความสอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้าที่แสดงถึงระดับภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันในผู้ที่ได้รับวัคซีนทั้งสอง

แหล่งที่มา
Abu-Raddad, Laith J et al. “Effectiveness of mRNA-1273 and BNT162b2 Vaccines in Qatar.” The New England journal of medicine, 10.1056/NEJMc2117933. 19 Jan. 2022, doi:10.1056/NEJMc2117933