ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ท่ามกลางความสนใจของคนในวงการแพทย์และสาธารณสุข คนในวงการให้บริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ และคนที่อยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแทบทุกระดับ พุ่งมาที่ประเด็นการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่กฎหมายได้เดินหน้าไปแล้วด้วยกรอบที่ว่า ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 การถ่ายโอนจะต้องเกิดขึ้น 

กระนั้น ยังมีเรื่องราวที่ต้องสังเคราะห์ ต้องวิจัย และต้องหาคำตอบอยู่หลากหลายประเด็น โดยเฉพาะกับเรื่องของบุคลากรสาธารณสุขที่รวมอยู่ในส่วนของการถ่ายโอน รพ.สต.ไปด้วย ซึ่งจากเดิมอยู่ภายใต้ร่มของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ต้องย้ายไปสังกัดกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อบริการสุขภาพให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

คำถามต่างๆ เกิดขึ้นตามมาว่า หากมีการถ่ายโอนไปแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ทั้งเรื่องคน เงิน ทรัพยากรต่างๆ เพื่อจัดบริการให้กับประชาชน การบริหารให้เกิดความราบรื่นหลังการถ่ายโอน  รวมไปถึงเมื่อถ่ายโอนไปแล้วเกิดข้อจำกัดใดๆ จะมีช่องทางใดบ้างที่จะให้ความช่วยเหลือ

การหาคำตอบจึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานทางวิชาการที่จะตอบโจทย์เรื่องนี้ให้ได้มากที่สุด ควบคู่ไปพร้อมกับการถ่ายโอน รพ.สต.ให้ อบจ. ที่ต้องออกเดินหน้าไปแล้วเช่นกันภายใต้กรอบระยะเวลาของกฎหมายที่กำหนดไว้ ด้วยล่าสุดข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ย. 2564 ขณะนี้มี อบจ. จำนวน 49 แห่ง ที่พร้อมจะรับการถ่ายโอน รพ.สต. รวมทั้งหมด 3,036 แห่ง

เพื่อทำให้การถ่ายโอนครั้งนี้มีความราบรื่นตามที่กฎหมายกำหนด ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับทิศทางแผนงานวิจัยระบบบริการสุขภาพครั้งที่ 2/2565 ซึ่งมี นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นประธาน จึงมีการหารือเมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา เพื่อระดมความคิดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และร่วมกันวางแผน พิจารณาถึงกรอบการวิจัยถ่ายโอน รพ.สต. ให้ อบจ. สำหรับรองรับข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้น

ทิศทางของการประชุมดังกล่าว คณะกรรมการกำกับทิศทางแผนงานวิจัยระบบบริการสุขภาพ ได้สะท้อนความเห็นในประเด็นการดำเนินการบริหารจัดการบุคลากร และการบริหารจัดการระบบบริการปฐมภูมิ รวมถึงบทบาทของ อบจ. หากเกิดข้อจำกัดใดๆ ทั้งนี้ตามที่กฏหมายได้กำหนดไว้  

นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธาณสุข (สวรส.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สวรส. จะสนับสนุนเรื่องนี้ในบทบาทงานวิจัยวิชาการที่จะทำให้การถ่ายโอนมีความราบรื่นเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้ และอุดช่องโหว่ แก้ปัญหาของการถ่ายโอนที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเกิดความเหมาะสมเป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามบทบาททางวิชาการ

“ยังมีอีกประเด็นที่น่าสนใจ คือเมื่อมีการถ่ายโอน รพ.สต.ไปยัง อบจ.แล้ว หน้าที่การดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิก็จะอยู่กับหน่วยงานท้องถิ่น คำถามที่ตามมาคือ สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และสาธารณสุขอำเภอ (สสอ.) จะมีบทบาทอย่างไรต่อไปหลังการถ่ายโอน จะมีภารกิจหน้าที่ใดบ้างที่จะดำเนินการเพื่อหนุนเสริมการทำงานร่วมกันได้” นพ.นพพร ระบุ

ขณะที่ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับทิศทางแผนงานวิจัยระบบบริการสุขภาพ กล่าวว่า การดำเนินงานตามนโยบายใดๆ ก็ตาม หากมีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุน ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ง่าย ไม่ผิดทิศผิดทาง ซึ่งจะเกิดผลดีกับประชาชนในที่สุด อีกทั้งยังมีองค์ความรู้อีกหลายประการในการกำหนดประเด็นที่จำเป็นสำหรับการถ่ายโอน รพ.สต. เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

นพ.ศุภกิจ ยืนยันว่า การศึกษาจึงมีความจำเป็น และจะช่วยป้องกันผลกระทบทางลบที่อาจมีได้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีเวลาจำกัด กรอบการวิจัยจึงควรมุ่งเป้าที่การเตรียมการในระบบต่างๆ มากกว่าการประเมินว่าเมื่อถ่ายโอนแล้วมีผลดีผลเสียอย่างไร

ด้าน ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวเสริมว่า สวรส. ได้สร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการกระจายอำนาจด้านสุขภาพมาโดยตลอด ซึ่งการถ่ายโอนหน่วยบริการปฐมภูมิจากสังกัด สธ. ไป อปท. เป็นรูปแบบหนึ่งของการกระจายอำนาจ โดยประเด็นการถ่ายโอน รพ.สต. ให้ อบจ. มีประเด็นที่สำคัญและเร่งด่วน เช่น ประเด็นรูปแบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ประเด็นการจัดสรรงบประมาณรายหัวให้แก่ อบจ. ประเด็นการพัฒนาศักยภาพและความก้าวหน้าทางอาชีพของบุคลากร รวมถึงบทบาทของ สสจ. และ สสอ. ในการทำงานร่วมกับ อบจ. เพื่อบริหารเครือข่าย รพ.สต.ที่รับการถ่ายโอนมายัง อบจ.แล้ว 

“ประเด็นสำคัญคือความเชื่อมโยงระหว่างการถ่ายโอนรพ.สต. และ พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.2562 ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องการคำตอบ เพราะเมื่อมีการถ่ายโอนแล้ว รูปแบบการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อการให้บริการอยู่ในความรับผิดชอบของท้องถิ่น และจะทำอย่างไรให้การถ่ายโอนมีความราบรื่นในทุกด้าน โดยคำตอบจะต้องผ่านการวิจัย ซึ่ง สวรส.ในฐานะหน่วยงานทางวิชาการก็จะสนับสนุนให้มีองค์ความรู้ที่จะทำให้การถ่ายโอน รพ.สต.เกิดประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนได้อย่างเต็มที่” ผศ.ดร.จรวยพร ทิ้งท้าย