ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการตลาดเผย เทรนด์สร้าง “ห้างสรรพสินค้าทางการแพทย์” กำลังมา ช่วยกระจายการบริการสุขภาพออกจากโรงพยาบาล ลดความเหลื่อมล้ำในระบบสุภาพ สร้างงานให้คนท้องถิ่น
เทรนด์ดังกล่าวถูกพูดถึงในบทความเผยแพร่บนนิตยสาร Harvard Business Review เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา โดย Kedar Mate ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ Leonard Berry ศาสตราจารย์ด้านการตลาด และลูกศิษย์ Sunjay Letchuman ซึ่งเน้นวิเคราะห์ตลาดสุขภาพในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
ห้างสรรพสินค้าทางการแพทย์ในที่นี้ หมายถึงอาคารที่รวมผู้ให้บริการด้านสุขภาพอย่างน้อย 5 ราย
สำหรับในสหรัฐๆ มีห้างสรรพสินค้าทางการแพทย์ 30 แห่งทั่วประเทศ 3 ใน 4 เป็นห้างสรรพสินค้าที่มีพื้นที่ให้บริการทางการแพทย์ผสมผสานกับพื้นที่ค้าปลีกทั่วไป
ยกตัวอย่างเช่นศูนย์บริการทางสุขภาพ Vanderbilt Health ตั้งอยู่ในห้าง One Hundred Oaks Mall เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี มีพื้นที่ให้บริการผู้ป่วยนอกคิดเป็นครึ่งหนึ่งของพื้นที่ห้างทั้งหมด
โดยให้บริการภายใต้สโลแกน “ทุกบริการสุขภาพ ภายใต้หลังคาเดียว” มีศูนย์ให้คำปรึกษาผู้ป่วยทางไกล เชื่อมต่อกับคลินิกเครือข่ายนอกห้างสรรพสินค้า ทั้งยังมีบริการรับส่งฟรีระหว่างห้างและโรงพยาบาลเด็ก Monroe Carell Jr. Children
ผู้เขียนบทความวิเคราะห์ว่ากระแสนิยมห้างสรรพสินค้าทางการแพทย์ในสหรัฐฯ มีมาตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19
ในปี 2562 บริษัท NRC Health สำรวจความเห็นผู้บริโภคและพบว่า 51% คิดว่าช่องทางการเข้าถึงหน่วยบริการสุขภาพที่สะดวกสบาย เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ตนตัดสินใจเข้ารับบริการ
โรคระบาดกลายเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยยอมรับการรับบริการสุขภาพนอกโรงพยาบาลมากขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริหารโรงพยาบาลไม่ควรมองข้าม
ห้างสรรพสินค้าทางการแพทย์มีข้อดีหลายข้อ เช่น ช่วยลดต้นทุนการบริหารโรงพยาบาล ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบและเครื่องมือค่อนข้างสูง
การลดต้นทุนทำได้โดยการใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานร่วมกับผู้ให้บริการเจ้าอื่น เช่น ระบบไอที ซึ่งผู้ให้บริการร่วมจ่ายค่าบำรุงรักษาผ่านค่าเช่าพื้นที่ หรืออาจสร้างศูนย์บริการการแพทย์ทางไกลในห้าง ที่ผู้ให้บริการสลับกันใช้งาน หรือมีพื้นที่เก็บยาร่วม
ประโยชน์ของห้างสรรพสินค้าในลักษณะดังกล่าว ยังครอบคลุมประเด็นการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบสุขภาพและการสร้างงานให้คนท้องถิ่น เช่นในกรณีศึกษาห้างสรรพสินค้า Jackson Medical Mall Thad Cochran Center ในเมืองแจ็คสัน รัฐมิสซิสซิปปี
แต่เดิม ห้างนี้เคยเป็นห้างสรรพสินค้าทั่วไป เปิดตัวในช่วงทศวรรษที่ 2510 และความนิยมค่อยๆตกต่ำลง 1 ทศวรรษหลังจากนั้น จนกระทั่งในปี 2539 เจ้าของห้างตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่มาให้บริการการแพทย์สำหรับกลุ่มประชากรด้อยโอกาส
สามารถระดมทุนจากจากองค์กรต่างๆเพื่อทำโครงการดูแลสุขภาพประชาชน เช่น โครงการช่วยคนผิวดำเลิกบุหรี่ สนับสนุนเงินทุนโดยมูลนิธิ Robert Wood Johnson โครงการอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ด้อยโอกาส สนับสนุนโดยกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ
ทั้งยังทำเครือข่ายส่งต่อผู้ป่วยให้กับศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี และทำงานร่วมกับเกษตรกรท้องถิ่น เพื่อกระจายอาหารคุณภาพดีให้กลุ่มประชากรเปราะบาง
นอกจากนี้ ห้างสรรพสินค้า Jackson Medical Mall Thad Cochran Center ยังเป็นแหล่งงานและรายได้สำหรับคนท้องถิ่น มีการจ้างงานประจำมากกว่า 1,500 ตำแหน่ง คิดเป็นรายได้รวม 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือมากกว่า 750 ล้านบาทต่อปี
การเกิดขึ้นของห้างสรรพสินค้ายังส่งผลให้สำนักงานพัฒนารัฐมิสซิสซิปปี ประกาศให้เขตรอบๆโรงพยาบาลเป็น “โซนแห่งโอกาส” ดึงดูดให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนในระยะยาว เพื่อสร้างงานและรายได้ให้คนท้องถิ่น แลกกับการได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี
ผู้เขียนเสนอว่าห้างสรรพสินค้าสามารถให้บริการใน 3 ประเภท ได้แก่ 1. บริการปฐมภูมิ เช่น ร้านยา ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ และพฤติกรรมที่ส่งผลต่อสุขภาพ
2. บริการผู้ป่วยนอก เช่น โรคภูมิแพ้ โรคทางเดินอาหาร โรคหัวใจ บริการผ่าตัดวันเดียวเสร็จ ทันตกรรม และโรคด้านระบบสายตา และ 3. บริการเสริม เช่น การตรวจเเล็บ กายภาพบำบัด เอ็กซ์เรย์ และคลังเก็บยา
อย่างไรก็ดี บริการสุขภาพในโรงพยาบาลยังต้องคงอยู่ โดยเฉพาะบริการรักษาโรคเร่งด่วน บริการที่ที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะหรือเครื่องมือที่มีศักยภาพสูง
ผู้เขียนสรุปในตอนท้ายว่าโรงพยาบาลต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ และคิดใหม่เรื่องการกระจายบริการออกนอกพื้นที่โรงพยาบาล ซึ่งจะสร้างโอกาสให้ทั้งโรงพยาบาลและผู้ป่วย
ห้างสรรพสินค้าทางการแพทย์ เป็นนวัตกรรมที่จะยกระดับระบบสุขภาพ ยิ่งมีห้างประเภทนี้ผุดขึ้นในอนาคต ยิ่งช่วยให้ผู้ประกอบการหาแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการได้มากขึ้น ส่งเสริมระบบสุขภาพให้เข้มแข็งไปพร้อมกัน
อ้างอิง
https://hbr.org/2021/11/why-health-care-systems-should-invest-in-medical-malls
- 287 views