ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก จนเกินศักยภาพการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยส่วนหนึ่งต้องรักษาอาการตนเองที่บ้าน หรือที่เราเรียกว่า Home Isolation
ทราบหรือไม่ว่า "ออกซิเจน" เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ และจึงทำให้ "เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว" กลายเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้อง Home Isolation ด้วย
เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น "ผศ.พญ.พิชญาภา รุจิวิชชญ์" สาขาโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงมาให้ความกระจ่างว่าทำไม "ออกซิเจน" ถึงจำเป็นกับผู้ป่วยโควิด-19
บทบาท "เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว" ในโควิด-19
"เครื่องวัดระดับออกซิเจนปลายนิ้ว" เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ของผู้ป่วย Home Isolation ที่ช่วยวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนจากจังหวะการเต้นของเส้นเลือด เป็นการตรวจที่ง่ายและสามารถตรวจได้ด้วยตนเอง โดยการนำเครื่องมาหนีบที่ปลายนิ้ว รอให้สัญญาณคงที่ประมาณ 15-30 วินาที แล้วค่อยทำการอ่านผลจากหน้าจอ
ใน "ผู้ป่วยปอดอักเสบจากโควิด-19" ถ้าค่าที่อ่านได้จากเครื่องในขณะพักมีค่าน้อยกว่า 96% (เต็ม 100%) หรือมีค่าลดลง 3% ขึ้นไป ในขณะที่ออกกำลัง เช่น เดินเร็วๆ 3 นาที หรือลุกยืน-นั่งเก้าอี้เร็วๆ 1 นาที ให้สงสัยว่า อาจมีปอดอักเสบจากโควิด-19 ควรให้ยาต้านไวรัส ยาต้านการอักเสบ ควบคู่ไปกับการพิจารณาให้ออกซิเจนเสริม
หากพูดถึงในสถานการณ์โควิด-19 นั้น เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้วเป็นเพียงเครื่องที่ใช้ติดตามอาการปอดอักเสบเบื้องต้นของผู้ที่ถูกตรวจยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 แล้ว ซึ่งจะช่วยบอกได้เบื้องต้นว่า ผู้ป่วยโควิด-19 รายนั้นๆ มีอาการปอดอักเสบหรือไม่ และอาการเป็นมากหรือเป็นน้อยเพียงใด
แต่แน่นอนว่า "ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ที่ใช้วินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19"
อันที่จริงการวัดค่าออกซิเจนในเลือด ทำได้ 2 วิธี คือ 1. ใช้เครื่องวัดระดับออกซิเจนปลายนิ้ว โดยมีข้อควรระวังในการวัดค่าออกซิเจนจากปลายนิ้ว คือ เครื่องที่ใช้วัดต้องได้มาตรฐาน อ่านผลได้แม่นยำ นิ้วที่ใช้หนีบวัดต้องไม่ทาเล็บ และเวลาวัดต้องอยู่นิ่งๆ
2. วัดระดับออกซิเจนจากการเจาะเลือดจากเส้นเลือดแดงใหญ่ ซึ่งจะได้ค่าที่แม่นยำแต่ต้องทำการตรวจที่โรงพยาบาล และต้องเจาะเลือดจากเส้นเลือดแดง ซึ่งเป็นการตรวจที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการเจาะ
"ปอดอักเสบ" สาเหตุหลักในการรักษาระดับออกซิเจน
โดยทั่วไปผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนมากจะมีอาการเพียงเล็กน้อยคล้ายเป็นหวัด ได้แก่ อาการคัดแน่นจมูก ไอ เจ็บคอ มีไข้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ร่วมด้วย ซึ่งถ้าหากร่างกายเดิมแข็งแรง มีอาการไม่มาก จะสามารถหายเองได้เพียงให้การรักษาตามอาการ
อย่างไรก็ตามประมาณช่วงวันที่ 4-7 เป็นต้นไป นับจากวันแรกที่เริ่มมีอาการ ผู้ป่วยส่วนหนึ่งอาจมีเชื้อลุกลามเข้าหลอดลมลงสู่ปอดจนเกิดภาวะปอดอักเสบขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ร่างกายเดิมอ่อนแอ มีโรคประจำตัวเสี่ยง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคมะเร็ง หรือกินยากดภูมิต้านทาน โรคอ้วน เป็นต้น
ทั้งนี้ สังเกตได้จากผู้ป่วยจะมีอาการไอมาก บางคนมีไอเสมหะปนเลือด เหนื่อย หายใจลำบาก หายใจไม่อิ่ม เจ็บหน้าอกโดยเฉพาะเวลาสูดหายใจเข้าลึกๆ หรือเวลาไอ มีไข้ และมีระดับออกซิเจนในร่างกายต่ำกว่าค่าปกติได้
ในการรักษาผู้ป่วยปอดอักเสบจากโควิด-19 นอกจากการรักษาโดยการให้ยาต้านไวรัส ยาต้านการอักเสบ ยาป้องกันลิ่มเลือดอุดตัน รวมถึงยารักษาโรคประจำตัวอื่นๆ แล้ว การรักษาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ "การให้ออกซิเจนให้เพียงพอเพื่อรักษาระดับออกซิเจนในเลือด"
นั่นก็เพื่อที่จะไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น หัวใจ ตับ ไต สมอง ไม่ให้ทำงานทรุดตามลงไป ซึ่งถ้าอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ล้มเหลว อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
ขณะเดียวกัน หากให้ออกซิเจนมากกว่าปกติ อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ โดยจะก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อต่างๆ ได้ และก่อให้เกิดการอักเสบของหลอดลมรวมถึงเนื้อปอดได้ ดังนั้นจึงควรใช้ออกซิเจนเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และไม่ให้มากจนเกินไป
โดยปกติแล้วการให้ออกซิเจน จะใช้เฉพาะในผู้ที่มีออกซิเจนในร่างกายต่ำ ส่วนใหญ่จะใช้ในผู้ป่วยโรคปอด ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือถุงลมโป่งพอง โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคพังผืดในปอด และโรคปอดอื่นๆ ที่มีปัญหาออกซิเจนในร่างกายต่ำ
ส่วนข้อบ่งชี้ในการให้ออกซิเจนจะไม่เหมือนกับในผู้ป่วยปอดอักเสบจากโควิด-19 เนื่องจากในผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง เมื่อเป็นมานานๆ ร่างกายจะมีการปรับตัวให้เข้ากับภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำได้ระดับหนึ่ง ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรังจึงเริ่มให้ออกซิเจนก็ต่อเมื่อระดับออกซิเจนที่วัดปลายนิ้วมีค่าต่ำมาก (≤ 88%) หรือมีโรค/ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการที่มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำนานๆ เช่น ความดันหลอดเลือดปอดสูง หัวใจห้องขวาล้มเหลว เป็นต้น
เครื่องผลิตออกซิเจน VS ถังออกซิเจน
เมื่อมาถึงการใช้งาน ออกซิเจนที่ใช้นอกโรงพยาบาลมี 2 แบบ คือ เครื่องผลิตออกซิเจน และถังออกซิเจน โดยแต่ละแบบจะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ได้แก่
1. เครื่องผลิตออกซิเจน ต้องเสียบปลั๊กใช้ไฟฟ้า ดึงอากาศในห้องมาผลิตเป็นออกซิเจนระดับความเข้มข้นต่างๆ ควรเลือกรุ่นที่ผ่านการรับรองคุณภาพแล้ว และเปิดได้อย่างน้อย 5 ลิตรต่อนาที
ข้อดีคือ ไม่ต้องคอยเติมออกซิเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องใช้ออกซิเจนขนาดสูงและใช้เป็นระยะเวลานาน แต่ข้อเสียคือ ต้องใช้ไฟ ดังนั้นถ้าไฟดับคือเครื่องจะไม่ทำงาน ยกเว้นบางรุ่นที่มีแบตเตอรีสำรอง และตัวเครื่องจะมีอายุการใช้งานที่ต้องรับการบำรุงรักษา
2. ถังออกซิเจน ข้อดีคือไม่ต้องใช้ไฟ ดังนั้นถ้าไฟดับจะยังสามารถใช้ได้อยู่ แต่มีข้อเสียคือ เมื่อออกซิเจนหมดถังต้องคอยหาที่เติมออกซิเจน ดังนั้นในผู้ที่ใช้ออกซิเจนเป็นระยะเวลานาน อาจต้องมีถังสำรองไว้ระหว่างที่รอเติม
อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังในการใช้ออกซิเจนทั้งสองแบบคือ ระวังไม่ให้มีประกายไฟ ผู้ป่วยห้ามสูบบุหรี่ระหว่างที่ใช้ออกซิเจนเด็ดขาด เพราะออกซิเจนจะติดไฟได้
- 393 views