ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

จากการศึกษาของ กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่า ฟ้าทะลายโจรมีสารสกัดสำคัญที่ชื่อว่า “แอนโดกราโฟไลด์” (Andrographolide) พบได้มากบริเวณส่วนใบ โดยสารดังกล่าวสามารถต้านเชื้อไวรัส SAR-CoV-2 ที่เป็นบ่อเกิดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีนัยสำคัญ

นับเป็นก้าวสำคัญของสมุนไพรไทยที่ได้เข้ามามีบทบาทในสถานการณ์วิกฤต โดยเฉพาะ “ฟ้าทะลายโจร” ที่สามารถข้ามผ่านการรักษาแบบกลุ่มอาการ มาสู่การรักษาโรคโควิด-19 ในผู้ที่มีอาการน้อยได้

ขณะเดียวกัน แม้ว่าฟ้าทะลายโจรจะประสบความสำเร็จ แต่กรมการแพทย์แผนไทยฯ ไม่ได้หยุดนิ่งเพียงแค่นั้น หากยังสร้างถนนไปสู่การค้นพบสารสกัดตัวใหม่ที่ได้จาก “กระชาย” สมุนไพรไทยใกล้ตัวอีกด้วย

ในกระชาย พบสารสกัดที่สำคัญ 2 ตัว ได้แก่ สารพิโนสโตรบิน (Pinostrobin) และสารแพนดูราทิน เอ (Panduratin A) ซึ่งสามารถต่อกลอนกับ SAR-CoV-2 ได้เป็นอย่างดี

“The Coverage” พูดคุยกับ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ถึงความคืบหน้าในเรื่องนี้

กระชายสู้โควิดได้ดีกว่าฟ้าทะลายโจร 30 เท่า

พญ.อัมพร บอกว่า ฟ้าทะลายโจรถือเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมียาสมุนไพร หรือยาตำรับไทยหลายตัวที่ใช้ได้ผลดี แต่ก็เป็นได้ผลดีมากเฉพาะ “ในกลุ่มอาการ” เท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับการค้นพบสารสกัดในฟ้าทะลายโจร-กระชาย ที่กำลังจะก้าวสู่การรักษาโรคที่มีความเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น

“SAR-CoV-2 ที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกและเป็นก้าวที่สำคัญ ซึ่งหากประสบผลสำเร็จและผ่านไปได้ด้วยดี ก็จะเป็นสัญญาณที่ดีในการส่งไม้ต่อให้กับยา หรือสมุนไพรไทยอีกหลายตัว ที่จะถูกวิเคราะห์และดึงขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่”

พญ.อัมพร บอกอีกว่า ทางคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีการวิเคราะห์สารสกัดสำคัญจาก “กระชาย” ในหลอดทดลอง ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับที่เคยได้มีการศึกษาฟ้าทะลายโจรมาก่อนหน้า ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่า ในกระชายนั้นมีสาระสำคัญที่ชื่อว่า สารพิโนสโตรบิน และสารแพนดูราทิน เอ สารสำคัญเหล่านี้สามารถจัดการกับ SAR-CoV-2 ได้เป็นอย่างดี

“นั่นเป็นสัญญาณที่ทำให้รู้ว่า น่าจะสามารถใช้กระชายในการรักษาโควิด-19 ได้เช่นกัน มากไปกว่านั้น สารสกัดจากกระชายอาจจะมีผลดีกว่าฟ้าทะลายโจร เนื่องด้วยฤทธิ์ในการกำราบเชื้อไวรัสที่รุนแรงกว่า”

พญ.อัมพร เล่าต่อว่า จากผลการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า สารโนสโตรบิน และสารแพนดูราทิน เอ จากกระชายนั้น สามารถออกฤทธิ์ได้ดีกว่า สารแอนโดกราโฟไลด์ ที่พบมากในส่วนใบของฟ้าทะลายโจร ได้มากกว่าถึง 30 เท่า

นั่นหมายความว่า อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ในปริมาณที่มาก แต่ก็สามารถกำจัดไวรัสได้อย่างหนักหน่วง

สำหรับการใช้สารสกัดจากกระชาย ขณะนี้ได้เริ่มนำมาศึกษาและทดลองใช้ในคนแล้วว่าจะมีผลออกมาอย่างไร ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล และกรมการแพทย์แผนไทยฯ ซึ่งปัจจุบันก็ได้ยาในขนาดที่เหมาะสมแล้ว

เบื้องต้นจะมีการใช้กับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อดูเรื่องความปลอดภัยในผลข้างเคียงต่อไป ก่อนจะเริ่มใช่กับผู้ป่วยจริงๆ

ในส่วนของฟ้าทะลายโจร เนื่องจากในช่วงแรกเริ่มต้นด้วยความไม่รู้ จึงทำให้ใช้ระยะเวลาในการพัฒนาเป็นปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา แต่เมื่อ 5-6 เดือนให้หลังก็มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด

“ด้วยต้นทุนและตัวอย่างที่ดีจากฟ้าทะลายโจร จึงทำให้เราพัฒนากระชายไม่นาน ถ้าเปรียบว่าฟ้าทะลายโจรเป็นการเดิน กระชายก็เปรียบเหมือนวิ่งหรือบินได้ ส่วนตัวคาดว่าอีกไม่นานก็อาจจะมีข่าวดีออกมาให้ประชาชนคนไทยได้ชื่นใจ”

อย่างก็ตาม ในเรื่องการใช้กระชายอาจยังมีรายละเอียดเรื่องกฎเกณฑ์อยู่ เพราะฟ้าทะลายโจรได้รับการบรรจุลงในบัญชียาหลักแห่งชาติ และเป็นยาที่ขึ้นทะเบียนให้สามารถใช้ได้อยู่แล้ว แต่กระชายยังเป็นเพียงสมุนไพรที่นำมาใช้ประกอบอาหาร ยังไม่เคยผ่านการขึ้นทะเบียนเป็นอาหารเสริม หรือยามาก่อน

ทว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็มีส่วนช่วยเป็นอย่างดีในฐานะกลไกแรก ในการสนับสนุนให้กระชายนั้นขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งก็จะมีรูปแบบที่เข้มข้นเพียงพอสำหรับการนำมาศึกษาถึงวิธีการใช้ เพื่อรักษาผู้ป่วยได้

แน่นอนว่า สำหรับในสภาวะที่มีโรคระบาดเช่นนี้ ทุกภาคส่วนในกระทรวงสาธารณสุขทำงานกันอย่างหนัก ทั้งกรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ฯลฯ ฉะนั้นในส่วนของ กรมการแพทย์แผนไทยฯ ก็คงอยู่เฉยไม่ได้

“เมื่อเราเห็นพี่น้องของเราเหนื่อย เราก็ขอเหนื่อยด้วย แม้ว่าเราจะไม่สามารถลงไปตรวจคัดกรองได้ เราก็ขออุทิศกำลังของเราทั้งหมดในการหาวิธีการใหม่ๆ และดี ผลักดันให้การแพทย์แผนไทยฯ ได้ช่วยเหลือประชาชนเช่นกัน เรายินดีเหนื่อยเป็นเพื่อนกัน เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดของวงการสุขภาพ” อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ ระบุ

ตั้งเป้าส่งออก ‘ฟ้าทะลายโจร-กระชาย’

พญ.อัมพร เล่าต่ออีกว่า การส่งออกยาสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร-กระชายนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายในอนาคต ถ้ามียาที่สามารถผลิตได้เองในประเทศไทย นั่นหมายความว่าอาจจะกลายเป็นเรื่องของความมั่นคงทางยา ที่สามารถทำให้ภูมิใจและอุ่นใจได้

“การผลิตเหล่านี้เราก็พร้อมจะแบ่งปันให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ขยายความช่วยเหลือไปสู่ต่างประเทศ รวมไปถึงการจัดจำหน่าย ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ในเบื้องต้นก็จำเป็นจะต้องดูแลประชาชนคนไทยให้ดีที่สุดก่อน”

นอกจากนี้ ในอนาคตอาจจะยังมีรูปแบบในการพัฒนาต่อ เช่น อาจจะสามารถพัฒนาเป็นยาฉีดได้ หรือแม้แต่ฟ้าทะลายโจรก็อาจจะทำให้เป็นยาที่สามารถส่งเสริมสุขภาพได้ เพราะฟ้าทะลายโจรไม่ได้มีฤทธิ์รักษาไวรัสได้เท่านั้น แต่ยังมีฤทธิ์ในการส่งเสริมภูมิคุ้มกัน-ลดการอักเสบ ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อการรักษาโรคต่างๆ ได้อีกนับไม่ถ้วน

“เป็นเรื่องที่กรมการแพทย์แผนไทยฯ รู้สึกดีใจ และภาคภูมิใจ ที่ภูมิปัญญาการแพทย์ของไทยนั้นมีดี และสมุนไพรที่อยู่ใกล้ตัวเรานั้นเป็นสิ่งเลอค่า ซึ่งอาจจะไม่ได้มีดีแค่ที่เห็น ถ้าเรามีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ก็จะเกิดความพยายามพิสูจน์ในสิ่งที่เรายังไม่รู้ และไม่เข้าใจ ให้สามารถรับรู้และเข้าใจได้มากขึ้น สมุนไพร-ยาไทยนั้นจะสามารถเป็นคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวของสุขภาพได้อีกมากมาย” พญ.อัมพร ระบุ