ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention : CDC) แสดงให้เห็นว่ามีประชากรเกินครึ่งประเทศได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้ว
แบ่งออกเป็น 49.5% หรือ 164 ล้านคน ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส และอีก 39% หรือ 131 ได้รับครบโดสแล้ว
ตัวเลขดังกล่าว เป็นผลการดำเนินการหลังจากที่สหรัฐอเมริกาเปิดฉีดวัคซีนตั้งแต่กลางเดือน เม.ย. และอนุมัติให้ใช้วัคซีน Pfizer สำหรับผู้ที่อายุ 12 ปีขึ้นไป
ทีมวอร์รูมทำเนียบขาวซึ่งทำหน้าที่บริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ประกาศว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเป้าหมายสำคัญ พร้อมกับกล่าวชื่นชมทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมในบทบาทสำคัญครั้งนี้
“เป็นเพราะทุกคนที่มีส่วนร่วมในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 จนจบกระบวนการ ทุกคนไม่เพียงแต่มีความรับผิดชอบต่อสุขภาพตนเอง และครอบครัวเท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสุขภาพของผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนอันเนื่องมากจากเหตุผลจากทางการแพทย์ด้วย พวกคุณมีส่วนรับผิดชอบต่อประเทศนี้ด้วย” นายแอนดี สลาวิตต์ ที่ปรึกษาด้านโรควิด-19 ของทำเนียบขาว ระบุเมื่อวันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวเลขในภาพใหญ่ในสหรัฐฯ จะคืบหน้าเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังมีรายงานถึงความแตกต่างกันของการรับวัคซีนในแต่ละรัฐ
ทว่าข้อมูลจาก CDC เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2564 ระบุว่า “9 รัฐสำคัญ” ประกอบด้วย นิวเม็กซิโก เวอร์มอนต์ นิวแฮมป์เชียร์ เมสสาชูเซตต์ คอนเนตติคัต เมน นิวเจอร์ซีย์ และโรดไอแลนด์ มีผู้สูงอายุมากถึง 70% ที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส
ส่วนประชาชนชาวอเมริกาที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากอีกต่อไป
“สำหรับประชาชนชาวอเมริกันที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว สามารถเข้าร่วมกิจกรรมทั้งใน และนอกอาคาร โดยไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือการเว้นระยะห่าง นอกจากนี้ผู้ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วสามารถทำกิจกรรมหรือทำในสิ่งที่อยากทำได้หลังจากที่ต้องหยุดลงในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ผ่านมา” ดร. โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการ CDC ระบุ
อย่างไรก็ดี ทาง CDC ได้มีข้อแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยในบางสถานที่ เช่น การรับบริการขนส่งสาธารณะ ศูนย์บริการสุขภาพ หรือในสถานที่ที่รัฐบาล-รัฐบาลท้องถิ่น หรือทางภาคธุรกิจที่ได้มีการร้องขอ
สำหรับบางกลุ่มที่ยังจำเป็นต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ได้แก่ ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบจำนวนโดส หรือผู้ที่ได้รับวัคซีนครบจำนวนแต่ยังไม่ถึง 2 สัปดาห์ รวมไปถึงเด็กอายุยังไม่เข้าเกณฑ์ในการเข้ารับวัคซีนเป็นต้น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของประธานาธิบดีสหรัฐ โจ ไบเดน ที่ได้พุ่งเป้าไปที่เรื่องของการจัดการปัญหาโควิด-19 นับตั้งแต่วันที่ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และได้ระบุถึงเป้าหมายในการทำงานใน 100 วันแรกของการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผ่านนโยบายสำคัญ “ให้ชาวอเมริกาเข้าถึงวัคซีน 100 ล้านโดส” ก่อนจะทำสำเร็จในวันที่ 75 ของการทำงาน 100 วันแรก และได้ทำการขยายเป้าหมายใหม่เพิ่มขึ้นเป็น “200 ล้านโดส”
มากไปกว่านั้น เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ที่ผ่านมา โจ ไบเดน ยังได้ปักหมุดหมายสำคัญใหม่ว่า ชาวอเมริกันในวัยผู้ใหญ่ราว 70% ของประชากรทั้งหมด จะได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 1 โดส และจะมีประชากรวัยผู้ใหญ่ราว 160 ล้านคนที่จะต้องได้รับวัคซีนครบโดส ก่อนถึงวันชาติสหรัฐฯ ในวันที่ 4 กรกฎาคม นี้
เพื่อที่จะให้ชาวอเมริกันสามารถรวมกลุ่มเล็กๆ ได้ฉลองในวันชาติสหรัฐฯ ไม่ว่าจะกับเพื่อน ครอบครัว หรือกับบุคคลอันเป็นที่รัก
“ถ้าเราสามารถทำในส่วนนี้ได้ สหรัฐอเมริกาจะมีประชาชนที่ได้รับวัคซีนครบโดสในไม่ช้า เศรษฐกิจของเราจะได้รับการฟื้นตัว ลูกหลานของเราจะสามารถไปโรงเรียนได้อย่างปกติ และเราจะพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศนี้นั้นสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง” นายโจ ไบเดน กล่าว
“ถ้าเราสามารถทำได้สำเร็จ จะถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะทำให้ชาวอเมริกันนั้นได้กลับไปใช้ชีวิตปกติ” คือสิ่งที่ ไบเดน ประกาศเอาไว้
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังสั่งการให้ร้านขายยาในพื้นที่เปิดให้ประชาชนให้สามารถ walk-in เพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนได้โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า นอกเหนือจากนั้น สำนักงานจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง สหรัฐฯ (FEMA) ยังได้ร่วมสนับสนุนรถป็อปอัพ และรถโมบายคลินิกเคลื่อนที่ เพื่อป้องกันปัญหาในระหว่างการฉีดวัคซีนอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ ‘โจ ไบเดน’ ทำ และทำได้สำเร็จ สะท้อนถึงความเอาจริงเอาจัง ความใส่ใจ และเป็นวิสัยทัศน์อันพึงมีของผู้นำประเทศอย่างแท้จริง
- 839 views