ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ก.ยุติธรรม-ราชทัณฑ์ วาง 10 มาตรการแก้ปัญหาโควิดในเรือนจำ พร้อมใช้ฟาวิพิราเวียร์-ฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ติดเชื้อ ตรวจทุกคนแบบ 100% "สมศักดิ์" เร่งประสาน "อนุทิน" ขอวัคซีนฉีดผู้ต้องขังทุกราย


นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่โควิด-19 ได้มีการระบาดภายในเรือนจำเป็นจำนวนมาก ทั้งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และต่างจังหวัด ซึ่งมีผู้ต้องขังติดเชื้อรวมแล้วกว่า 1 หมื่นคน ทางกระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ จึงมีมาตรการ 10 ข้อ โดยเจ้าหน้าที่ทุกคนจะต้องร่วมแรงร่วมใจอย่างเต็มที่ และเร่งปรับปรุงในส่วนใดที่หย่อนยาน

สำหรับมาตรการ ประกอบด้วย 1. แถลงจำนวนผู้ต้องขังที่ได้ตรวจเชิงรุกไปแล้วมีจำนวนเท่าไร 2. ตรวจเชิงรุกให้ครบทุกเรือนจำ ทั้งผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่ รวมทั้งผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ทุกคน รวมกว่า 55,000 คน 3. เร่งสืบข้อเท็จจริงสาเหตุและที่มาของการติดเชื้อครั้งนี้ และถ้าได้ความแน่ชัดจะแจ้งให้ทราบโดยไม่ปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น 4. จะรักษาและการเฝ้าดูอาการคนไข้ตลอดเวลาไม่มีวันหยุด

5. ประสานงานกับกระทรวงสาธารณะสุข (สธ.) เพื่อหาวิธีการรักษาที่เร็วและได้ผลดีที่สุด โดยใช้ยาฟาราพิราเวียร์ รวมทั้งการใช้สมุนไพรไทย เช่น ฟ้าทะลายโจร เข้าช่วยรักษาในขณะที่รอดูอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยในระดับสีเขียวที่ติดเชื้อแต่ยังไม่มีอาการ และผู้ป่วยระดับสีเหลืองที่กำลังเริ่มมีอาการ 6. ผู้ต้องขังเป็นประชาชนคนไทยที่ต้องอยู่ในเรือนจำ ซึ่งการถูกล้อมเอาไว้ขยับขยายไปไหนไม่ได้ นับเป็นอุปสรรคอย่างมหาศาลในการแก้ไข้ปัญหา ประกอบกับห้องนอนนั้นมีผู้ต้องขังอยู่กันอย่างแออัด

7. ผู้ต้องขังและผู้คุมที่ไม่ติดเชื้อในทุกเรือนจำ จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างเร่งด่วน 8. จะมีการติดประกาศหน้าเรือนจำทุกแห่งในประเทศไทย เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีผู้ต้องขังติดเชื้อกี่คนและไม่ติดเชื้อกี่คน หายแล้วกี่คน จะมีการแจ้งเช่นนี้เป็นระยะๆ อย่างน้อยที่สุดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และจะปรับตัวเลขทุกวันเพื่อให้ประชาชนในแต่ละชุมชนได้รับทราบ

9. ผู้บัญชาการเรือนจำทุกคน จะทำรายชื่อผู้ติดเชื้อและปรับปรุงเป็นรายวัน เพื่อให้ญาติผู้ต้องขังทุกคนสามารถเข้ามาตรวจสอบได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่ 8.00-18.00 น 10. จะรีบเร่งวางแผนเตรียมตัวรับการระบาดครั้งนี้ รวมถึงครั้งหน้าที่จะมีมาได้ทุกเมื่อ โดยจะรีบเร่งประชุมพิจารณาในเรื่องของบุคลากรที่ต้องเพิ่ม เช่น พยาบาลที่ปัจจุบันขาดแคลนมาก รวมทั้งแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดจนพื้นที่ในการรองรับการดูแลและรักษาผู้ต้องขัง

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในการใช้ยาฟาราพิราเวียร์รักษา 10,000 คน เฉลี่ยหัวละ 5,000 บาท จะใช้เงินถึง 50 ล้านบาท แต่หากฉีดวัคซีนให้ผู้ต้องขัง 300,000 คน หัวละ 1,000 บาท จะใช้เงิน 300 ล้านบาท และจะหยุดเชื้อในเรือนจำได้ทั้งหมด ดังนั้นตนจึงจะเสนอไปยัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ดำเนินการให้เรียบร้อย และหวังว่าทางนายอนุทินจะเข้าใจและเร่งดำเนินการให้

"ส่วนจำนวนผู้ต้องขังที่มีอยู่มากเกินกว่าที่สถานที่และเจ้าหน้าที่ปัจจุบันจะรองรับได้ กระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ จะพิจารณานโยบายการพักโทษในรูปแบบพิเศษ เช่น การติดกำไล EM ให้ละเอียดรอบครอบ โดยพิจารณาสิ่งแวดล้อมและข้อเท็จจริง ตลอดจนสภาวะของผู้ต้องขัง เพื่อกำหนดนโยบายการพักโทษขึ้นมา รวมทั้งกฎหมายต่างๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ด้วยกัน" นายสมศักดิ์ กล่าว

ด้าน นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ต้องขังที่ติดเชื้อใน 15 เรือนจำ โดยเป็น 8 เรือนจำใน กทม.และปริมณฑลที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษ ซึ่งจะเช็คตัวเลขทุกวันว่ามียอดผู้ติดเชื้อเท่าไร รักษาหายเท่าไร ส่วนเจ้าหน้าที่ขณะนี้มีติดเชื้อ 33 ราย เหลือที่ยังไม่หาย 17 ราย โดยได้ประสานงานกับทางศาล ซึ่งต้องขอบคุณทางประธานศาลฎีกาที่ได้มีความเข้าใจและอำนวยประโยชน์ทุกทาง