ช่วงนี้ประชาชนอาจไม่เพียงต้องเฝ้าระวังกับโรคโควิด-19 เท่านั้น หากแต่โรคสามัญที่เราคุ้นเคยดีอย่างเช่นโรคไข้เลือดออก อันมีแหล่งที่มาจาก "ยุงลาย" ก็ยังคงจะต้องให้ความสำคัญและป้องกันไม่ให้การ์ดตกด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะในช่วงที่หลายพื้นที่ยังคงมีฝนตก ซึ่งอาจทำให้มีน้ำขังอยู่ตามเศษภาชนะหรือวัสดุต่างๆ เช่น กล่องโฟม แก้ว ถุงพลาสติก ยางรถยนต์เก่า ถ้วยหรือกะลารองน้ำยางดิบ เป็นต้น อันจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายได้
หากย้อนดูสถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. จนถึงวันที่ 4 เม.ย. 2564 จะพบว่ามีผู้ป่วยรวมแล้วทั้งสิ้น 2,246 ราย และเสียชีวิต 2 ราย โดยกลุ่มอายุที่พบมากที่สุด ได้แก่ 15-24 ปี รองลงมา 25-34 ปี และ 10-14 ปี ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่มีรายงานผู้ป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ระนอง กรุงเทพมหานคร แม่ฮ่องสอน ระยอง และชลบุรี ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่พบผู้ป่วย 9,183 ราย และเสียชีวิต 6 ราย จะเห็นได้ว่าจำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากที่ประชาชนส่วนใหญ่อยู่บ้านเพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 และใช้โอกาสที่อยู่บ้านทำความสะอาดบ้านและบริเวณรอบๆ รวมถึงกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายไปด้วย
ด้วยโอกาสที่ดีนี้เอง ที่หลายหน่วยงานกำลังให้พนักงานทำงานที่บ้านตามมาตรการ "work from home" กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงกำลังถือเป็นโอกาสให้ประชาชนสำรวจพื้นที่รอบบ้าน และคว่ำภาชนะเพื่อกำจัดลูกน้ำยุงลายไปด้วย
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า เพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อนำโดยยุงลาย โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออก จึงขอให้ประชาชนเก็บกวาดและทำลายเศษขยะหรือภาชนะเหล่านั้นให้เกลี้ยง เพื่อไม่ให้ยุงลายใช้เป็นที่วางไข่เพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายให้เติบโต กลายเป็นพาหะนำเชื้อโรคติดต่อได้
ทั้งนี้ ได้แนะนำให้เก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บน้ำ ตามมาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ได้แก่ 1. เก็บบ้านให้สะอาด เช่น พับเก็บเสื้อผ้าใส่ในตู้หรือแขวนให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง 2. เก็บขยะที่อยู่บริเวณรอบบ้าน เก็บภาชนะใส่อาหารหรือน้ำดื่มที่ทิ้งไว้ใส่ถุงดำ และนำไปทิ้งลงถังขยะ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง 3. เก็บน้ำ ภาชนะที่ใส่น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ต้องปิดฝาให้มิดชิด ล้างคว่ำภาชนะใส่น้ำ และเปลี่ยนน้ำในกระถางหรือแจกันทุกสัปดาห์ ป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่
หากทำได้เช่นนี้ประชาชนจะสามารถป้องกันได้ 3 โรค คือ 1. โรคไข้เลือดออก 2. โรคติดเชื้อไวรัสซิกา 3. โรคไข้ปวดข้อยุงลายหรือโรคชิคุนกุนยา
"หากประชาชนมีอาการป่วย เช่น มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อยหอบ เบื่ออาหาร ปวดท้อง ซึ่งอาจมีลักษณะคล้ายกันหลายโรค ทั้งโรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก และโรคโควิด-19 จึงขอให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัย รับประทานยาลดไข้ 1-2 วัน" นพ.โอภาส ระบุ
ขณะเดียวกันยังได้แนะนำให้ประชาชนเลือกรับประทานยาแก้ไข้พาราเซตามอล หลีกเลี่ยงการทานยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ยาไอบูโพรเฟน แอสไพริน เพราะถ้าเป็นไข้จากโรคไข้เลือดออก ยากลุ่มดังกล่าวจะส่งผลทำให้การรักษายุ่งยาก และเสี่ยงต่อการทำให้มีอาการหนักมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ให้ประชาชนรีบไปพบแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อรับการวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไป โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
- 54 views