ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ผู้ป่วยอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 3-6 เดือน

สิ้นสุดคำวินิจฉัย ราวกับขั้วหัวใจของ นนทชพร ถูกของมีคมกรีดเฉือน

คุณแม่ของ “นนทชพร” ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดลามไปถึงสมอง ขณะนี้เข้าสู่ระยะที่ 3-4 ล่าสุดแพทย์บอกกับเธอว่า คุณแม่ของเธอจะอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งปี

ขณะนั้น คุณแม่ของเธอเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร (กทม.)

ทว่า ประสบการณ์จากการเข้ารับการรักษาค่อนข้างเลวร้าย โรงพยาบาลแออัด รอคิวนาน เจ้าหน้าที่พูดจาราวกับมะนาวไม่มีน้ำ การเดินทางมารับการรักษาแต่ละครั้งจึงเต็มไปด้วยความทุกข์

“แม่บอกว่าไม่อยากรักษาต่อแล้ว” นนทชพร เล่า โดยขณะนั้นเธอเชื่อว่า เป็นเพราะคุณแม่ของเธอใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ที่ให้การรักษาฟรี

เมื่อรักษาฟรี ก็สมควรแล้วที่ได้รับการบริการอย่างตามมีตามเกิด เธอคิดเช่นนั้น

สำหรับ “นนทชพร” และแม่แล้ว การเดินทางเข้ามารักษาโรคร้ายใน กทม.ไม่ใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์ ด้วยครอบครัวของเธอมีภูมิลำเนาอยู่ทางภาคเหนือ หากต้องเดินทางไป-กลับ คุณแม่คงแบกรับไม่ไหว

ที่สุดแล้ว “นนทชพร” ตัดสินใจย้ายคุณแม่มาอยู่ที่ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เธอทำงานอยู่

“เราก็เทียวไปเทียวมา กทม.-ชลบุรี” เธอเล่า “และทุกครั้งที่ไปถึงโรงพยาบาล แม่ก็เอาแต่ร้องอยากกลับบ้าน เพราะไม่อยากรักษาที่นี่”

“นนทชพร” เป็นทุกข์มาก ทว่าก็ไม่มีทางอื่นให้เลือก

กระทั่งช่วงบ่ายของวันฟ้าเปิด ในระหว่างที่เธอขับรถ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงมาจากวิทยุว่า “นโยบายยกระดับบัตรทอง โรคมะเร็งรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม เริ่ม 1 มกราคม 2564”

แน่นอน เธอไม่เคยได้ยินโครงการนี้มาก่อน นั่นทำให้เมื่อถึงที่หมาย เธอรีบหาข้อมูลโดยทันที

เราอ่านข้อมูลแล้วก็เลยลองโทรเข้าที่โรงพยาบาลมะเร็งชลบุรีเลย เจ้าหน้าที่รับสายและอธิบายอีกครู่หนึ่งก็บอกว่า สามารถจองคิวพาแม่มารักษาได้ในวันพรุ่งนี้เลย

เหมือนฟ้าหลังฝน เพราะเมื่อมาถึงโรงพยาบาลมะเร็งชลบุรี เธอและคุณแม่พบว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนให้การต้อนรับดีมาก ไม่เหมือนฝันร้ายอย่างที่เคยพานพบมา

“เราประทับใจตั้งแต่ตอนคุยกับเจ้าหน้าในโทรศัพท์แล้ว เขาพูดทำนองว่าอยากให้แม่เราได้รักษา เขาไม่รังเกียจเราที่ใช้บัตร 30 บาท” เธอระบุ

“นนทชพร” เล่าต่อไปว่า การดำเนินการย้ายคุณแม่จากโรงพยาบาลใน กทม. มาที่โรงพยาบาลมะเร็งชลบุรีนั้น แพทย์ที่โรงพยาบาลใน กทม. แนะนำว่าเธอต้องกลับไปขอใบส่งตัวจากโรงพยาบาลที่บ้านเกิดของเธอในภาคเหนือมาก่อน

เมื่อได้เอกสารแล้ว จึงรีบนำใบส่งตัวนั้นมายื่นที่โรงพยาบาลมะเร็งชลบุรี

ทว่าเมื่อมาถึง พยาบาลที่โรงพยาบาลมะเร็งชลบุรีกลับบอกว่า เอกสารเหล่านี้ไม่ต้องนำมาแล้วนะ ใช้แค่บัตรประชาชนเพียงอย่างเดียวจากนั้นพยาบาลก็แนะนำให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “Cancer Anywhere” โดยข้อมูลผู้ป่วยจะถูกบันทึกอยู่บนนั้น

สรุปคือไม่ต้องใช้ใบส่งตัวแล้ว ทุกอย่างเขารู้หมด สุดท้ายเราจบทุกอย่างด้วยบัตรประชาชนเพียงแค่ใบเดียว นนทชพร ระบุ

ทั้งที่เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่เธอและคุณแม่เคยหมดหวัง ขณะนั้นไม่รู้เลยว่าจะอดทนต่อสู้ได้อีกนานเท่าใด แต่เมื่อเข้าสู่เดือนมกราคม 2564 ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

โรงพยาบาลมะเร็งชลบุรีทำให้เราได้รับบริการที่เท่าเทียมกับคนอื่น ซึ่งทำให้เรายิ้มได้ แม่บอกว่าเหมือนได้ชีวิตใหม่ ถึงเราไม่มีเงินถุงเงินถัง เราก็ยังไปต่อได้ และแม่ก็มีความสุขที่ได้รับการรักษา ไม่คิดเลยว่าบัตร 30 บาท จะทำได้ถึงขนาดนี้ เธอบอก

ขณะนี้ “นนทชพร” เข้าใจแล้วว่าบัตรทองเป็นสิ่งที่ดีมาก ส่วนการให้บริการที่ดีหรือไม่ดีนั้น เป็นเรื่องของแต่ละโรงพยาบาล ไม่ใช่เรื่องของบัตรทอง

เหนือสิ่งอื่นใด จนถึงขณะนี้คุณแม่ของเธอยังมีกำลังใจ มีความเชื่อมั่น และมีความสุขในเข้ารับการรักษาต่อไป