ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ในที่สุดประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ถูกเบียดตกเก้าอี้ พ่ายแพ้ไปอย่าง “บอบช้ำ” ในการเลือกตั้งเมื่อวันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ในสหรัฐอเมริกา

น่าจะ “ฟันธง” ได้ว่า ทรัมป์พ่ายแพ้เพราะความล้มเหลวเรื่องการจัดการกับปัญหาโควิด-19 เป็นสาเหตุหลักและสำคัญ

อันที่จริงทรัมป์น่าจะได้ชัยชนะ ครองตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ไปได้อย่างง่ายดาย เพราะตามสถิติของสหรัฐ ประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งสมัยแรกมักจะได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นสมัยที่ 2 ถ้าสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ดีพอสมควร

ช่วงปลายสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ เศรษฐกิจของสหรัฐสามารถประคองตัวไปได้ แม้จะถูกกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะสหรัฐมีศักยภาพสูงมากในการป้องกันและแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตน สิ่งสำคัญที่สุดนอกจากขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว คือความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐของประเทศต่างๆ ทั่วโลก

การแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะงักงัน เพราะมาตรการล็อคดาวน์ทำให้ประชาชนหยุดชะงักการเดินทางทั้งเพื่อการท่องเที่ยวและการประกอบธุรกิจ การงานจำนวนมากทั้งภาครัฐและเอกชนใช้วิธี “ทำงานจากบ้าน” (work from home) และการประชุมทางไกล เศรษฐกิจของแทบทุกประเทศหยุดการเจริญเติบโต โดยซ้ำร้ายติดลบในเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างสูง

สำหรับสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” เลือกดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ ต่อต้านขัดขวางมาตรการล็อคดาวน์ที่มลรัฐส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองชีวิตและสุขภาพของประชาชนมากกว่า

ทรัมป์ ยอมสุ่มเสี่ยง “เปิดหน้า” คือปฏิเสธการสวมหน้ากากอนามัย และการรักษาระยะห่างทางสังคม (social distancing) จนตนเองและคนใกล้ชิดหลายคนติดโควิด-19 ทรัมป์เองถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เพราะมีความเสี่ยงสูงทั้งเรื่องอายุมากถึง 74 ปี แล้ว และอ้วนด้วย

แต่หลังจากอาการดีขึ้นพ้นขั้นวิกฤตไม่นานก็รีบออกมาหาเสียงเพื่อกู้สถานการณ์ที่เป็นรอง และเพื่อส่งสัญญาณตามความเชื่อส่วนตัวว่าโควิด-19 ก็แค่โรคหวัดธรรมดา ไม่ต้องไปหวาดกลัว ซึ่ง “โดนใจ” บรรดาแฟนๆ ของทรัมป์ไม่น้อย โดยเฉพาะคนจำนวนมากที่ “บูชา” เสรีภาพเหนืออื่นใด เพราะคือหลักการของการต่อสู้เพื่อก่อร่างสร้างประเทศของสหรัฐมาตั้งแต่ต้น

ทรัมป์ ยังได้เปรียบเพราะสามารถใช้สื่อสังคมออนไลน์หาเสียงแทบทุกวัน ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดย “ไม่ยี่หระ” ต่อสื่อกระแสหลักที่ทรงอิทธิพลทั้งในสหรัฐและทั่วโลกที่ต่อต้านตน เพราะทรัมป์ก็มีสื่อกระแสหลักที่หนุนตนเต็มที่อย่าง Fox News

ข้อสำคัญทรัมป์สามารถหาเสียงตรงถึงประชาชนทั่วประเทศ รายงานผลงานของตนตลอดเวลา ด้วยทักษะการสื่อสารระดับ “ชั้นครู” เพราะเติบโตมาจากการเป็นนักจัดรายการโชว์ชื่อดังมาอย่างยาวนาน

ทรัมป์ “ครองใจ” ผู้คนที่เป็นฐานเสียงได้มากมาย จากนโยบายการลดภาษีให้แก่ทั้งคนร่ำรวยและคนชั้นกลางทั่วประเทศ และ “เอาชนะใจ” คนที่เป็นอนุรักษ์นิยม เช่น การแต่งตั้งผู้พิพากษาสายอนุรักษ์กว่า 200 ตำแหน่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นอำนาจของประธานาธิบดี

แต่ทรัมป์ก็ไม่สามารถรักษาเก้าอี้ไว้ได้ และแพ้ไปอย่างบอบช้ำ ทั้งๆ ที่ “โจ ไบเดน” คู่ชิงตำแหน่ง มิใช่คู่แข่งที่น่ากลัวเลย ทรัมป์แพ้เพราะ “แพ้ภัยตัวเอง” จาก “นโยบายที่ผิดพลาด” ประกอบกับ “โทษสมบัติพื้นฐาน” และ “ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิด-19”

นโยบายที่ผิดพลาดที่นำพาทรัมป์ไปสู่ความพ่ายแพ้มีหลายประการ โดยทรัมป์ทำลายระเบียบโลกหลายสิ่งหลายอย่างที่ความจริงแล้วสหรัฐเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างไว้รวมทั้งทำลายมิตรประเทศของตนเองด้วยนโยบายชาตินิยม “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First)

เช่น การถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสเรื่องการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน การละเมิดกติกาขององค์การการค้าโลก การประกาศถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก การประกาศสงครามการค้ากับจีนซึ่งกระทำอย่างบุ่มบ่ามและผลที่สุดแล้วก็กระทบต่อธุรกิจของคนอเมริกันและชาวอเมริกันเอง และการทำสงครามการค้ากับมิตรประเทศอย่างสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ เป็นต้น

ภายในประเทศก็มีพฤติกรรมยุแยกให้แตกสามัคคี และยั่วยุให้เกิดความรุนแรง โดยกระทำอย่างต่อเนื่องจนใกล้วันเลือกตั้งและตราบจนแม้ในระหว่างการนับคะแนนเลือกตั้ง และพบว่าสถานการณ์ฝ่ายตนเริ่มตกเป็นรอง

“โทษสมบัติ” สำคัญของทรัมป์คือ การโกหกคำโตอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่รับรู้และถูกเยาะเย้ยถากถางอย่างกว้างขวาง โดยนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม สื่อแขนงต่างๆ ปัญญาชน ดารา ศิลปิน ได้แสดงหลักฐาน “ประจาน” ทรัมป์อย่างต่อเนื่องว่าตลอดสามปีเศษที่อยู่ในตำแหน่ง ทรัมป์โกหกมากกว่า 2 หมื่นครั้ง ทั้งจากการทวีตข้อความโดยตรง การให้ข่าว และการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ

ทรัมป์เคยเอาชนะ “ฮิลลารี คลินตัน” ในการเลือกตั้ง เมื่อ พ.ศ. 2559 ด้วยการส่งข่าวเท็จ-ข่าวลวง (Fake News) ช่วงใกล้วันเลือกตั้งจนฮิลลารีตั้งตัวไม่ทันและพ่ายแพ้ไปอย่างพลิกความคาดหมาย แต่คราวนี้ ทรัมป์ไม่สามารถใช้กลยุทธ์เดิมได้อีก เพราะช่วงท้ายของการรณรงค์หาเสียง เจ้าของแพลตฟอร์มระดับโลกโดยเฉพาะ คือ ทวีตเตอร์ ได้ทำลายความน่าเชื่อถือของสื่อจากทรัมป์เหล่านั้นโดยใช้วิธีประกบติดข้อความเท็จของทรัมป์ว่า เป็นข้อความ “ที่ต้องตรวจสอบ”

และหลังการเลือกตั้ง 2 วัน คือตอนเย็นวันที่ 5 พฤศจิกายน ขณะทรัมป์กำลังแถลงข่าวกล่าวหาว่าคู่แข่งใช้วิธีโกงการเลือกตั้งเพื่อสร้างความชอบธรรมในการที่จะล้มผลการเลือกตั้งที่ตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้โดยการนำคดีไปสู่การฟ้องร้องในศาล สื่อยักษ์ของสหรัฐ คือ ซีบีเอส, เอบีซี และเอ็นบีซี ได้ยุติการถ่ายทอดสดกลางคันและให้พิธีกรของสถานีออกมาประกาศว่าการแถลงของทรัมป์เป็นการกล่าวหาอย่างไม่มีหลักฐาน

นโยบายที่ผิดพลาดและโทษสมบัติของทรัมป์ ทำให้มีคนออกมาให้ข่าวและเขียนหนังสือเปิดโปงทรัมป์มากมาย ตั้งแต่หลานสาวของทรัมป์ที่ออกมาแฉว่าทรัมป์โกงญาติพี่น้องและทุจริตในการสอบ และคนใกล้ชิดที่ถูกทรัมป์ปลดได้ทยอยออกมาแฉโพยความชั่วและความผิดของทรัมป์ เช่น เรื่องทรัมป์สมคบคิดกับรัสเซียเพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง เป็นต้น รวมทั้งมีชนชั้นนำในพรรครีพับลิกันหลายคน เช่น “พลเอกคอลิน เพาย์เวล” แม่ทัพใหญ่ผู้นำยุทธการ “พายุทะเลทราย” พิชิตอิรัก ได้ออกมาประกาศต่อสาธารณะว่าจะไม่เลือกทรัมป์ แต่จะไปลงคะแนนให้คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตแทน

ประเด็นเรื่องโควิด-19 นั้น ชัดเจนมากที่ทรัมป์ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการแก้ปัญหานี้ ทั้งๆ ที่สหรัฐมีสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งชาติและมีระบบการควบคุมและป้องกันโรคที่ดีที่สุดในโลก แต่นอกจากไม่สนใจใน “วิชาการและหลักฐาน” (Sciences and evidences) ที่ “นพ.แอนโธนี เฟาซี่” เน้นย้ำแล้ว ทรัมป์ยังมีมิจฉาทิฐิอย่างแรงกล้าว่าโรคนี้เป็นแค่ “ไข้หวัดธรรมดา” จึงไม่จัดการควบคุมป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จนโรคลุกลามไปมากมาย

นั่นทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลกและตายมากที่สุดในโลก กลายเป็น “America First” ในด้านลบหลายเรื่อง โดยจำนวนคนตายมากกว่าจำนวนทหารสหรัฐที่ตายในสงครามเวียดนามหลายเท่าแล้วด้วย

มีหลักฐานชัดเจนจากการตรวจชันสูตรศพคนไข้ที่เสียชีวิตจากโควิด-19 ในเวลาต่อมาว่า คนไข้รายแรกที่เสียชีวิตในสหรัฐพบตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 และหนังสือของ “บ๊อบ วูดเวิร์ด” (หนึ่งในสองนักข่าว “หัวเห็ด” ผู้เปิดโปงกรณีวอเตอร์เกต จนทำให้ประธานาธิบดีนิกสันต้องหลุดกระเด็นจากตำแหน่งมาแล้ว) ก็แสดงหลักฐานว่า ทรัมป์รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ตัดสินใจผิดพลาดทำให้คนอเมริกันต้องเจ็บป่วยและล้มตายมากมาย

การเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากมายเป็นประวัติการณ์โดยมีสัดส่วนสูงมากที่ออกมาใช้สิทธิล่วงหน้าเพราะสถานการณ์โควิด-19 ทั้งการทยอยไปใช้สิทธิ์ที่คูหาเลือกตั้ง และการเลือกตั้งทางไปรษณีย์ ซึ่งผลปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่ของผู้ใช้สิทธิ์ทางไปรษณีย์เลือกโจ ไบเดน และมีผลสำคัญทำให้โจ ไบเดน แซงโค้งเข้าเส้นชัยไปได้อย่างงดงาม โดยเฉพาะใน “มลรัฐที่เป็นสมรภูมิ” (Battle-ground states) หลายมลรัฐ

นอกจากตกเก้าอี้แล้ว คดีความต่างๆ ทั้งทางอาญาและทางแพ่งน่าจะเปิดประตูรอทรัมป์อีกมากมายหลายคดี หลังจากไม่มี “ภูมิคุ้มกัน” การถูกฟ้องร้องจากตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว

เป็นไปตามพุทธวัจนะที่ว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”