ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ลูก 2 คนเริ่มโตแล้ว แต่ยังไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรสักชิ้นให้ลูก สองคนผัวเมียตัดสินใจฝากลูกไว้กับพ่อแม่และน้องๆ ให้ช่วยกันเลี้ยงหลาน พร้อมสัญญาว่าจะส่งเงินมาให้ทางบ้าน จากนั้นสองผัวเมียก็จูงมือกันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ

นายพานิช บุตรวิชา ชาวขอนแก่น อายุ 55 ปี เล่าว่า ปลายปี 2552 ผมกับภรรยาตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยขายข้าวเพื่อนำเงินมาเป็นทุนในการใช้ชีวิตในเมืองหลวง เพราะรู้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ยอมรับว่าช่วงแรกๆ การดำเนินชีวิตค่อนข้างลำบากมาก ไหนจะค่าเช่าบ้านเดือนละ 2,500 บาท ยังไม่ร่วมค่าน้ำค่าไฟ ผมไปเช่ารถสองแถวแดงขับตามคำแนะนำของน้องสาว เจ้าของวินคิดค่าเช่าวันละ 300 บาทไม่รวมค่าน้ำมัน เมื่อหักค่าเช่าค่าน้ำมันแล้วเหลือเงินวันละ 200 กว่าบาท โดยรวบรวมไว้จ่ายค่าเช่าบ้าน ซื้อกับข้าวและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน

จากการใช้ชีวิตเรียบง่ายทำนาทำสวนมานั่งหลังพวงมาลัยขับรถสองแถว ต้องสูดควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์วันละหลายชั่วโมง เนื่องจากรถสภาพเก่าไม่สามารถติดแอร์ได้ ทำได้เพียงใช้ผ้าปิดจมูกปิดปาก พอกลับถึงบ้านมักจะรู้สึกปวดหัว เหมือนมีไข้นิดๆ จะเลือกวิธีซื้อยาแก้ไข้แก้ปวดจากร้านขายยามากินเพื่อบรรเทาอาการปวด เนื่องจากสิทธิ 30 บาทอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น  

เมื่อตัดสินใจก้าวออกจากบ้านมาแล้ว ลำบากแค่ไหนก็ต้องกัดฟันสู้ให้ถึงที่สุด “เพื่อลูก ลูกจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าพ่อแม่”

ผมอยากให้ลูกโตขึ้นมีอาชีพที่มั่นคง มีสมบัติไว้ให้ลูกจะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อแม่ เพราะเกือบ 20 ปีของการทำนา คือนับตั้งแต่เรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 ผมออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อแม่ทำนาจนกระทั่งมีครอบครัวซึ่งภรรยาเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน จนกระทั่งมีลูก 2 คน ชีวิตวนเวียนทำนา ปลูกพืชผักสวนครัว ไม้ผล เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ไว้กิน ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความสุขตามคนชนบททั่วไป แต่ไม่มีทรัพย์สินงอกเงยเลย ถ้าปีไหนเกิดแห้งแล้ง หรือฝนตกหนัก ปีนั้นข้าวเสียหายหรือข้าวได้น้อย เงินที่ได้จากการขายข้าวหลังหักค่าปุ๋ย ค่ารถไถ และอื่นๆ แทบจะไม่เหลือเงินไว้เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน พูดง่ายๆ ว่าชักหน้าไม่ถึงหลัง

“ต้องการให้ลูกมีชีวิตที่ดี ทุกวันผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ออกมาขับรถสองแถวกว่าจะกลับเข้าบ้านประมาณ 3 ทุ่ม สำหรับอาหารจะเลือกซื้อแบบง่ายๆ แค่กินให้อิ่มท้อง ไม่ได้นึกถึงโภชนาการ ส่วนภรรยาออกไปทำงานเป็นแม่บ้านบริษัทแห่งหนึ่ง ทั้ง 2 คนช่วยกันทำงาน มีรายได้ภายหลังหักค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ส่งให้ทางบ้าน เหลือเงินเก็บในแต่ละเดือนไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ผมก็ตั้งใจจะเก็บเงินทีละเล็กทีละน้อยให้เป็นเงินก้อนใหญ่ เพื่อซื้อทรัพย์สินไว้ให้ลูก”

อยู่กรุงเทพฯเรื่อยมาจนกระทั่งปี 2554 ช่วงนั้นกรุงเทพฯเกิดน้ำท่วมใหญ่ ถนนถูกน้ำท่วมหมด ขับรถสองแถวไม่ได้ ตัดสินใจกลับบ้านนอกไปทำนาอยู่พักหนึ่ง พอน้ำลดก็กลับมาเช่าสองแถวเหมือนเดิม

ต่อมาปี 2558 ผมไม่อยากจ่ายค่าเช่าทุกวันจึงตัดสินใจเอ่ยปากขอซื้อรถสองแถวกับเจ้าของวิน เขาเห็นว่าตั้งใจทำมาหากินจึงขายรถสองแถวให้ในราคา 180,000 บาทพร้อมเส้นทางวิ่งสองแถว ผมมีวินัยทางการเงินผ่อนให้เจ้าของวินตรงเวลาทุกเดือน ผ่อนหมดภายในเวลา 2 ปี และโอนชื่อเป็นเจ้าของรถแล้ว เมื่อไม่ต้องจ่ายค่าเช่ารถ ทุกวันนี้มีเงินเข้าบ้านวันละ 500-700 บาท

ปัจจุบันลูกสองคนเรียนจบมัธยมปีที่ 3 แล้ว โดยลูกสาวคนโตขณะนี้อายุ 26 ปีมีครอบครัวและมีหลานสาว 1 คนอายุ 4 ขวบ โดยลูกคนโตเข้ามาทำงานบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งมีรายได้ประจำ เมื่อต้นปี 2561 ลูกสาวตัดสินใจซื้อบ้านเอื้ออาทร ย่านสายไหม แล้วให้พ่อแม่มาอยู่ด้วย จะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน ส่วนลูกชายเป็นทหารเกณฑ์จะปลดประจำการเดือนตุลาคมนี้

ชีวิตครอบครัวดูเหมือนจะราบรื่น มีทรัพย์สินเป็นรถสองแถว 1 คัน  แต่มาระยะหลังๆ หรือช่วง 2 ปีมานี้ รู้สึกว่าร่างกายเริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพ มักจะอาการเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ เวียนหัวบ่อย จึงตัดสินใจไปตรวจที่คลินิกแห่งหนึ่ง หมอตรวจพบว่าป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดัน และพบหัวใจเต้นผิดปกติ หมอจ่ายยากลับมาให้กิน พร้อมให้คำแนะนำว่าควรไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ อีกครั้งหนึ่ง 

นอกจากนี้ยังกำชับกินยาทุกวันอย่าให้ขาด และหมั่นดูแลสุขภาพให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องอาหารและให้ออกกำลังกายบ้าง เพราะผมอ้วนลงพุง อย่างไรก็ตาม ผมใช้บริการคลินิกอยู่บ่อยครั้งแต่ละครั้งต้องจ่ายเงินค่ารักษาเอง ครั้งละหลายร้อยบาทจนถึงหลักพันบาท

เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการค่ารักษา เพราะคนเป็นเบาหวาน ความดันซึ่งจะต้องกินยาตลอดชีวิต ผมแก้ปัญหาโดยการเดินทางกลับไปใช้สิทธิ 30 บาทที่จังหวัดขอนแก่น เนื่องจากทุกๆ 2-3 เดือน จะกลับไปเยี่ยมแม่ ญาติพี่น้องหรือบางครั้งมีต้องไปทำธุระที่ขอนแก่น ก็จะต้องเผื่อเวลา 1 วันในการหาหมอ ซึ่งการไปหาหมอจะได้รับยามา กินประมาณ 3 เดือน

“ผมป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากพันธุกรรม เพราะพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วก็ป่วยเป็นเบาหวาน ความดัน ส่วนลูกชายที่เป็นทหารเกณฑ์ก็ป่วยเป็นความดันเหมือนกัน แต่ลูกชายรับการรักษาที่ค่ายทหาร โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ถ้าปลดประจำการแล้ว ยังไม่รู้ว่าลูกชายจะไปรักษาที่ไหน ขณะที่ภรรยา ป่วยเป็นความดันแต่ใช้สิทธิประกันสังคม โดยประกันตนเองจ่ายเดือนละกว่า 400 บาท เนื่องจากภรรยาต้องลาออกจากงานมาช่วยเลี้ยงหลานสาววัย 4 ขวบป่วยเป็นโรคต่อมทอนซิลโต และต้องคอยรับส่งหลานไปโรงเรียนด้วย”

และเมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้เจอกับเจ้าหน้าที่ อสม.ที่มากับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่มาตรวจผู้ป่วยใกล้กับวินรถสองแถว ผมไปวัดความดันและสอบถามขั้นตอนการย้ายสิทธิ 30 บาท เขาให้คำแนะนำขั้นตอนการย้ายอย่างละเอียดว่าต้องทำอย่างไรบ้าง และให้ผมรีบไปทำเรื่องย้ายสิทธิ 30 บาทจากขอนแก่นมากรุงเทพฯ เพราะอายุเริ่มมากขึ้น หากขับรถทางไกลอาจได้รับอันตรายได้   

ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมเพิ่งเดินเรื่องย้ายสิทธิ 30 บาท โดยให้ลูกสาวที่ซื้อบ้านเอื้ออาทรรับรองที่อยู่อาศัยแต่ยังไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้าน ขณะที่ไปเดินเรื่องขอย้ายสิทธินั้น ผมถือโอกาสไปโรงพยาบาลพล ให้หมอตรวจเพื่อขอรับยาโรคเบาหวานความดันกลับมาด้วย ซึ่งยาสามารถกินได้จนถึงเดือนกันยายน ครั้งต่อไปคงสะดวกขึ้นเพราะสามารถใช้บริการ 30 บาทที่คลินิกนิมิตใหม่ กรุงเทพฯ

เจ็บป่วยกันเกือบทุกคนเหมือนครอบครัวขี้โรค

ผมและคนภายในครอบครัวโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า ปัญหาที่ตามมาก็คือ ค่ารักษาพยาบาล ตอนนี้มืดแปดด้าน กลุ้มใจจะหาเงินจากไหนมาจ่ายค่ายา ค่ารักษา โดยเฉพาะอาการของหลานสาวไปหาหมอที่โรงพยาบาลนพรัตน์ แต่ละครั้งจะต้องจ่ายเงินเอง เพราะสิทธิรักษา 30 บาทยังอยู่ที่ขอนแก่น ซึ่งหลานสาวรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนพรัตน์ระยะหนึ่ง จนกระทั่งมีคนแนะนำให้พาหลานไปรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี เพราะรักษาโรคเฉพาะทางของเด็กโดยตรง ก็เปลี่ยนมารักษาที่ราชวิถีตามคำแนะนำ หลานป่วยด้วยโรคต่อมทอนซิลโต และมีอาการนอนกรน

ผมกับภรรยา พาหลานสาวมารักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี โดยหมอจะนัดให้มารักษาเดือนละ 2-3 ครั้ง หมออธิบายว่า ถ้าอยากให้หลานอาการดีขึ้นหรือหายขาดจะต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่พาไปหาหมอจะเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาครั้งละเกือบ 2,000 บาท และหมอนัดประมาณ 3 ครั้งในหนึ่งเดือน เฉลี่ยจะต้องหาเงินมาเป็นค่ารักษา 6,000 บาท ยังไม่รวมค่าแท็กซี่จากบ้านพักย่านสายไหมมาโรงพยาบาล

ตั้งแต่พาหลานสาวมารักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี ยอมรับว่าแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ให้บริการดีมาก ที่สำคัญอาการป่วยของหลานดีขึ้นตามลำดับ แต่ครอบครัวเริ่มมีปัญหาเรื่องเงิน คือหาเงินไม่ทันกับค่ารักษาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ คือนับตั้งแต่หลานย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ภรรยาต้องออกจากงานมาช่วยเลี้ยงหลานอย่างเดียวเพราะหลานมีปัญหาสุขภาพ ส่วนผมหยุดวิ่งรถบ่อยต้องพาหลานมาหาหมอ ตอนนี้รายได้หลักอยู่ที่ลูกสาวซึ่งทำงานบริษัทแต่รายได้ก็ไม่มากนัก เพราะต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านเดือนละหลายพันบาท

ตอนที่เริ่มมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาของหลาน ผมและทุกคนในครอบครัวนั่งล้อมวงหารือกันว่าจะทำอย่างไรดี เพื่อให้หลานรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถีอย่างต่อเนื่อง โดยใช้สิทธิ 30 บาท จริงๆ ช่วงที่หารือกันในครอบครัวก็ยังไม่เห็นทางออก กระทั่งพาหลานมาหาหมอที่ราชวิถีตามนัดครั้งล่าสุด ผมไปขอคำปรึกษาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลท่านหนึ่ง โดยเล่าปัญหาเรื่องค่ารักษา เขาก็แนะนำให้ทำเรื่องย้ายสิทธิ 30 บาทจากขอนแก่นมากรุงเทพฯ และเมื่อได้รับสิทธิรักษาแล้วให้แจ้งว่าเด็กรักษาอยู่โรงพยาบาลราชวิถี ขอให้ทำเรื่องส่งตัว จะได้รักษาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน

ผมนำคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่มาบอกลูกสาว ลูกสาวลาพักร้อนไปเดินเรื่องย้ายสิทธิ 30 บาทจากขอนแก่นมากรุงเทพฯ จนได้สิทธิรักษาที่นิมิตใหม่ อย่างไรก็ตาม ก่อนจะถึงกำหนดวันที่หมอโรงพยาบาลราชวิถีนัด คงต้องมาขอใบส่งตัวเพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี โดยใช้สิทธิ 30 บาท

ส่วนผมหันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น โดยให้ภรรยาทำอาหารประเภทผักต้มน้ำพริก กินอาหารต้มๆ นึ่งๆ ไม่เน้นทอด ทำทานกันทั้งครอบครัว บางวันตักใส่กล่องไว้ทานตอนกลางวัน และในช่วงที่รอขับรถผมจะพยายามขยับแขนขา วิ่งอยู่กับที่ บิดตัวยืดเส้นยืดสาย ให้ร่างกายเคลื่อนไหว

วันนี้ผมต้องลุกขึ้นมาดูแลสุขภาพตัวเอง เพราะไม่อยากเป็นภาระของลูกหลานจะต้องมาคอยดูแล อีกอย่างตอนนี้หูตายังดี ยังมีเรี่ยวแรง อยากขับรถสองแถวไปจนกว่าจะขับไม่ไหว คืออยากเก็บเงินไว้ใช้ในปั้นปลายชีวิต

“ตอนที่เริ่มมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาของหลาน ผมและทุกคนในครอบครัวนั่งล้อมวงหารือกันว่าจะทำอย่างไรดี เพื่อให้หลานรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถีอย่างต่อเนื่อง โดยใช้สิทธิ 30 บาท ผมไปขอคำปรึกษาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เขาก็แนะนำให้ทำเรื่องย้ายสิทธิ 30 บาทจากขอนแก่นมากรุงเทพฯ และเมื่อได้รับสิทธิรักษาแล้วให้แจ้งว่าเด็กรักษาอยู่โรงพยาบาลราชวิถี ขอให้ทำเรื่องส่งตัว”