ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

จากตัวเลขสำมะโนประชากรสหรัฐอเมริกาปี 2018 ระบุว่าในขณะที่อัตราความยากจนลดลง แต่ชาวอเมริกันกลับไม่ได้รับการคุ้มครองจากประกันสุขภาพของรัฐเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สิ่งที่เกิดขึ้นคือช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างคนรวยและคนจนเพิ่มสูงขึ้นตามมา

รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ มักประกาศอยู่เสมอว่ารัฐบาลตัวเองสามารถลดอัตราความยากจนได้มากกว่ารัฐบาลสมัยอื่น ๆ กล่าวคือ เหลือเพียง 11.8% นับว่าเป็นตัวเลขต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2001 สืบเนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ที่เน้นการสร้างงาน สร้างรายได้ ให้โอกาสกับกลุ่มแรงงานไร้ทักษะและกลุ่มผู้ยากจนชาวอเมริกัน

อย่างไรก็ตาม การลดลงของอัตราความยากจนในสหรัฐนั้นกลับขับเคลื่อนด้วยตัวเลขของแรงงานชาวสหรัฐอเมริกาที่ย้ายจากทำงานชั่วคราว (part-time job) มาเป็นงานประจำ (full-time job)  ซึ่งช่วยกระตุ้นตัวเลขในเชิงรายได้ได้เป็นอย่างดี โดยข้อมูลจากสำมะโนประชากรปี 2018 แค่เพียงปีเดียว มีจำนวนผู้หางานประจำมากถึง 2 ล้านคน

น่าสนใจกว่านั้น แม้การจ้างงานจะมีการเพิ่มขึ้น จำนวนคนว่างงานและอัตราความยากจนจะลดลงก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่า จำนวนประชาชนชาวอเมริกันที่ได้รับการคุ้มครองจากประกันสุขภาพของรัฐกลับลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

จากข้อมูลสำมะโนประชากรของสหรัฐอเมริกาปี 2018 ที่เพิ่งเปิดเผยออกมาสัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานว่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา 27.5 ล้านคนไม่ได้รับการคุ้มครองจากประกันสุขภาพของรัฐ

โดยตัวเลขของผู้ไม่มีประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นจาก 7.9% เป็น 8.5% จากปีที่ผ่านมา (ปี 2017) สวนทางกับกฎหมายประกันสุขภาพ (Affordable Care Act) ที่กำหนดให้ชาวอเมริกันทุกคนต้องมีประกันสุขภาพ ซึ่งมีเป้าหมายมุ่งเน้นให้โอกาสสร้างสุขภาพที่ดีให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มรายได้น้อยจนถึงรายได้ปานกลาง นอกเหนือจากนั้นแล้วในรายงานดังกล่าวยังชี้ให้เห็นถึงความเลวร้ายจากการที่ประชาชนไม่ได้รับประกันสุขภาพอีกด้วย

นับเป็นครั้งแรกที่สำมะโนประชากรแสดงให้เห็นสัดส่วนของชาวอเมริกันที่ซื้อแผนประกันสุขภาพผ่านกฎหมาย Affordable Care ตามท้องตลาด โดยปีที่ผ่านมามีประชาชน 3.3% ซื้อประกันสุขภาพผ่านช่องทางดังกล่าว

ไม่เพียงแต่ตัวเลขของผู้ที่มีประกันสุขภาพจะลดลง แต่ยังรวมถึงพวกเขาเหล่านั้นยังขอถอดถอนตัวเองออกจากระบบอีกด้วย โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานประชาชนกลุ่ม Hispanic (คนที่มีถิ่นฐานมากจากประเทศเม็กซิโก, เปอโตรีโก, คิวบา รวมถึงชนชาติที่ใช้ภาษา/วัฒนธรมสเปน) และชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในสหรัฐอเมริกา รวมถึงเด็กและเยาวชนผู้ที่แปลงสัญชาติเป็นชาวสหรัฐ (Naturalized citizen)

ด้านผู้เชี่ยวชาญนโยบายสาธารณสุขกล่าวถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นว่า เป็นหลักฐานของผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ที่จำกัดให้สวัสดิการขั้นพื้นฐาน (รวมถึง Medicaid) แก่ผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา

ขณะที่ตัวเลขของประชาชนที่เข้าอยู่ในระบบประกันสุขภาพลดลง แต่สัดส่วนของชาวอเมริกันผ่านระบบประกันสุขภาพของนายจ้างกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเหมือนกับระดับบุคคลมากนัก โดยเฉพาะ Medicare ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้สูงอายุและผู้พิการกลับมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ดังนั้น หากนำข้อเท็จจริงทั้งสองมารวมกันแล้ว ความเติบโตทางเศรษฐกิจจะสอดคล้องกับความไม่เท่าเทียมสูง รวมถึงการเติบโตของกลุ่มคนเหล่านั้นมีความเสี่ยงทางการเงิน เนื่องจากไม่ได้รับการครอบคลุมถึงประกันสุขภาพที่ควรจะต้องได้รับ

อย่างไรก็ตาม ความพร้อมที่จะให้บริการประกันสุขภาพนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่เมื่อทรัมป์พยายามรื้อถอนกฎหมาย และผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในปลายปีหน้าที่มีแนวคิดต้องการที่จะแทนที่ด้วยระบบการดูแลสุขภาพซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งสองฝ่ายสามารถค้นหาข้อมูลสนับสนุนว่าทำไมอัตราประชาชนที่ไม่มีประกันสุขภาพของประเทศถึงเริ่มสูงขึ้นอีกครั้ง

ข้อมูลสำมะโนประชากรด้านสาธารณสุขกำลังถูกพิจารณาและตรวจสอบจากทั้งกลุ่มที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนกฎหมายประกันสุขภาพ (Affordable Care Act) เกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานของกฎหมายดังกล่าว เมื่อแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้านั้น ประเด็นสำคัญที่ทุกพรรคต่างให้ความสำคัญและพูดถึงกันอยู่อย่างต่อเนื่องคือ เรื่องสวัสดิการสุขภาพ เมื่อเรื่องของประกันสุขภาพที่สามารถเข้าถึงได้กำลังถูกผลักให้ถอยห่างจากประชาชนชาวอเมริกัน

ที่มา: washingtonpost.com : More Americans go without health coverage despite strong economy, Census Bureau finds