ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

อดีตวิศกรชาว กทม. เผยสิทธิบัตรทองช่วย “บายพาส ผ่าตัดลิ้นหัวใจ” ลดภาระค่ารักษากว่า 3 แสนบาท ระบุไม่คิดว่าช่วยได้ พร้อมย้ำชนชั้นกลาง “สิทธิบัตรทอง” ยังจำเป็น หากป่วยหนักเป็นโรคค่าใช้จ่ายสูง ทั้งเส้นแบ่งคนรวยจนใช้ไม่ได้ เหตุคนรวยอาจล้มเหลว ไม่มีเงินได้ พร้อมแนะรัฐบาลลดภาระค่ารักษาต้องแก้ต้นเหตุ ลดปัจจัยเสี่ยงต้นเหตุก่อโรค    

นายนริศร์ ศักดาพลรักษ์ อายุ 72 ปี อดีตวิศวกร ชาวกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ได้รับบัตรหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) มาตั้งแต่ปี 2546 ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้สิทธิการรักษาพยาบาลกับคนไทยทุกคน ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ได้เคยใช้สิทธิเข้ารักษาฉุกเฉิน 1 ครั้งที่ รพ.ภูมิพล ด้วยอาการปวดท้องจากภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร และต่อมาพบว่ามีภาวะเส้นเลือดอุดตันในสมองจึงเข้ารับการรักษาที่ รพ.พระมงกุฎเกล้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนเองพอมีเงินเก็บอยู่บ้างจึงจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองมาตลอด แต่ภายหลังมีภาวะลิ้นหัวใจรั่ว ลิ้นหัวใจเปิดปิดได้เพียง 30% เท่านั้น จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโดยเร็ว คุณหมอได้แจ้งค่าผ่าตัดรักษาสูงถึงหลักล้านบาท ทำให้รู้สึกตกใจมากเพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากและเกินกำลัง จึงมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไร ทำให้นึกถึงบัตรทองในการใช้สิทธิรักษา

แต่เนื่องจากไม่ได้ใช้สิทธิบัตรทองมานานและด้วยเป็นการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ไม่มั่นใจว่าบัตรทองจะช่วยได้แค่ไหน โดยได้ย้ายมารักษาต่อเนื่องที่ รพ.ภูมิพล หมอหัวใจที่นี่ดูแลดีและแนะนำให้ผ่าตัดโดยใช้วิธีสายสวน แต่เนื่องจาก รพ.ภูมิพลยังให้การรักษาโดยวิธีนี้ไม่ได้ จึงได้ย้ายไปรักษาที่ รพ.ศิริราช ในเดือนมีนาคม 2561 โดยช่วงแรกยังไม่ได้ใช้สิทธิบัตรทอง ยังเป็นการจ่ายค่ารักษาเองไปก่อน ซึ่งในการวินิจฉัยของคุณหมอที่ได้ทำการฉีดสีเพื่อดูสถานะของหัวใจพบว่า นอกจากลิ้นหัวใจที่รั่วแล้ว ยังต้องทำบายพาสเส้นเลือดหัวใจอีก 2 เส้น ดังนั้นการรักษาโดยใช้วิธีสายสวนจึงไม่คุ้มค่า ต้องเป็นการรักษาด้วยการผ่าตัดเปิดหัวใจเพื่อที่จะได้ทำการรักษาในคราวเดียวกัน

ทั้งนี้จากการผ่าตัดรักษามีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เจ้าหน้าที่ของ รพ.ศิริราชจึงแนะนำให้ใช้สิทธิบัตรทองในการเบิกจ่าย เพราะดูแล้วว่าสามารถเบิกจ่ายได้ โดยได้ให้เอกสารทำเรื่องส่งตัวเพื่อนำไปยื่นกับหน่วยบริการต้นสังกัด “คลินิกโพธิ์สุวรรณ” ให้ดำเนินการใช้สิทธิ์ให้ โดยคุณหมอนัดผ่าตัดในเดือนพฤศจิกายน 2561 เท่ากับว่ารอคิวอีก 6 เดือน เนื่องจากคิวผ่าตัดผู้ป่วยโรคหัวใจที่นี่ยาวมาก และยังมีผู้ป่วยที่เร่งด่วนจำเป็นต้องให้การรักษาก่อน ในระหว่างนั้นมีพยาบาลที่คอยโทรมาติดตามทุก 2 สัปดาห์ เพื่อประเมินอาการอย่างต่อเนื่อง

นายนริศร์ กล่าวต่อว่า ในวันที่เข้ารับการผ่าตัด ยอมรับว่าก็ยังไม่มั่นใจว่าจะใช้สิทธิบัตรทองเบิกจ่ายได้หรือไม่ และยังเป็นห่วงค่ารักษาอยู่ โดยคุณหมอผ่าตัดเปลี่ยนใช้ลิ้นหัวใจเทียมแบบเนื้อเยื่อ ซึ่งหลังรับการผ่าตัดแล้วได้ต้องนอนรอดูอาการที่ รพ.นานถึง 7 วัน เพื่อติดตามและประเมินผลการรักษา โดยอยู่ในหอผู้ป่วยหัวใจสามัญที่ไม่ต่างจากห้องพิเศษ มีเตียงผู้ป่วยเพียง 20 เตียง และมีพยาบาลคอยดูตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้พอฟื้นจากการผ่าตัดแล้ว เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าการรักษาครั้งนี้สามารถใช้สิทธิบัตรทองและได้รับการอนุมัติแล้ว ต้องบอกว่าทุกอย่างนั้นดีเกินคาด และขณะนี้คุณหมอยังคงนัดตรวจติดตามต่อเนื่องโดยใช้สิทธิบัตรทอง 

“ค่าการรักษาพยาบาล หากเป็นเงินหลักร้อยหลักพันเราจ่ายเองได้ แต่หากเป็นหลักแสนหลักล้านบาทคงรับภาระไม่ไหวและคงต้องไปกู้หนี้ยืมสินมารักษาแน่นอน การผ่าตัดครั้งนี้แม้ว่าจะเป็นการรักษาที่ รพ.รัฐ ก็ตาม แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 300,000 บาท ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพียงหมื่นกว่าบาทเท่านั้น”  

นายนริศร์ กล่าวต่อว่า ส่วนในเรื่องมาตรฐานและคุณภาพการรักษามองว่าขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลและแพทย์ผู้ให้การรักษา ทั้งในเรื่องการรักษา จ่ายยา เพราะด้วยระบบที่เปิดกว้าง แต่อาจจำกัดวิธีการรักษาบางอย่างที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ตรงนี้ต้องเข้าใจเพราะงบประมาณรัฐที่มีอยู่จำกัด แต่ในส่วนของตนเองที่รับการรักษาไม่พบปัญหาอะไร

วันนี้หากถามว่าระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นสิทธิจำเป็นในกลุ่มคนชนชั้นกลางหรือไม่  ตอบได้ว่าจำเป็นในฐานะผู้ที่ประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง และในระหว่างที่เข้ารับการรักษายังพบผู้ป่วยบางคนที่ย้ายมาใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพหลังจากหมดเงินค่ารักษาที่ รพ.เอกชนเป็นหลักแสนหลักล้านบาทจนจ่ายไม่ไหว ส่วนที่มีข้อเสนอให้จำกัดสิทธิบัตรทองเฉพาะกับคนจนและผู้มีรายได้น้อยนั้น มีความเห็นว่าเราคงใช้เส้นแบ่งตรงจุดนั้นไม่ได้ เพราะคนที่มีเงินวันหนึ่งอาจจะประสบภาวะล้มเหลว กลายเป็นคนไม่มีเงินได้ และข้อเท็จจริงไม่มีใครอยากเจ็บป่วยหรือไม่สบายเพื่อขอใช้สิทธิ การใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพจึงเป็นการใช้สิทธิที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งงบประมาณของรัฐที่จ่ายกับระบบนี้ได้ยังประโยชน์ให้กับประชาชนโดยตรง ส่วนคนรวยนั้นมองว่าคงไม่มีใครอยากมาใช้สิทธิระบบนี้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่หากมีเงินก็จะเข้ารักษาที่ รพ.เอกชน หรือจ่ายเงินเองมากกว่าเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว  

นายนริศร์ กล่าวว่า ในการลดจำนวนผู้ใช้สิทธิบัตรทอง รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศนั้น เรื่องนี้รัฐบาลต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่จำกัดการใช้สิทธิ โดยต้องลดปัจจัยทางสุขภาพที่เป็นต้นตอก่อโรค เช่น การจำกัดการใช้ยาปราบศัตรูพืชด้วยการสนับสนุนใช้วิธีอื่นที่ปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การลดใช้น้ำมันประกอบอาหารที่ก่อให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น พร้อมมีมาตรการสนับสนุนการออกกำลังกายควบคู่ ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ดีและมีประโยชน์กับประชาชน