ความหวาดผวาและตัวเลขการเลิกจ้างที่ไต่ระดับขึ้นทุกทีจากการระบาดของ COVID-19 เป็นหลักฐานว่าสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
สื่อท้องถิ่นของสหรัฐรายงานว่าเมื่อเดือนก่อนมีชาวอเมริกันขึ้นทะเบียนขอรับความช่วยเหลือจากการถูกเลิกจ้างถึง 3.3 ล้านคนภายในสัปดาห์เดียวอันเป็นผลจากการระบาดของ COVID-19
นับตั้งแต่การระบาดของ COVID-19 เปิดฉากขึ้นในสหรัฐก็มีชาวอเมริกันถูกเลิกจ้างหรือยกลดชั่วโมงทำงานแล้วถึงร้อยละ 18 และตัวเลขยิ่งสูงขึ้นในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์/ปี ทำให้เกิดคำถามว่าชาวอเมริกันหลายล้านคนที่สูญเสียงานและสวัสดิการจาก COVID-19 จะทำอย่างไรเมื่อพวกเขาเกิดเจ็บป่วย
คาดว่าค่ารักษาพยาบาลสูงลิ่วจาก COVID-19 จะซ้ำเติมชาวอเมริกันจำนวนมากในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอย และอาจนำไปสู่ภาระหนี้พอกพูนและการล้มละลาย
เป็นที่แน่ชัดว่าระบบสุขภาพของสหรัฐไม่มีประสิทธิภาพเพราะเป็นระบบที่มุ่งสร้างกำไรขณะที่เพิ่มภาระค่ารักษาพยาบาลให้ประชาชนซึ่งต่างประสบปัญหาการเงินและการว่างงาน ในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่านักการเมืองของสหรัฐจะต้องหันมาสนับสนุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากันเสียที
หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นระบบที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมโดยไม่ต้องเสี่ยงกับปัญหาการเงิน กระนั้นปัจจุบันสหรัฐกลับเป็นมหาอำนาจเพียงชาติเดียวที่ยังคงปราศจากหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
สถิติรายงานว่าชาวอเมริกัน 27.5 ล้านคนหรือร้อยละ 8.5 ของประชากรทั้งหมดไม่มีประกันสุขภาพและปัญหานี้ยิ่งน่าวิตกเมื่อเกิดการระบาด COVID-19 ประเมินว่าชาวอเมริกันอาจต้องเสียค่ารักษา COVID-19 ราว 42,000-74,000 ดอลลาร์หากไม่มีประกันสุขภาพหรือได้รับบริการที่อยู่นอกกรมธรรม์ประกันสุขภาพ
แม้ชาวอเมริกันสามารถรับการตรวจ COVID-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่กรณีที่ตรวจพบการติดไวรัสอื่น เช่น ไข้หวัดใหญ่หรือหวัดก็อาจต้องเจอกับค่ารักษาก้อนโต ปัญหานี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต่างกังวลว่าผู้ป่วยอาจไม่ยอมไปรักษาเพราะกลัวจะต้องเสียค่ารักษาราคาแพง
ผศ.คริส จอห์นสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาให้ความเห็นว่าในประเทศที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้นประชาชนไม่ได้กลัวการไปพบหมอเหมือนชาวอเมริกัน
“ประเทศอื่นบริหารเงินภาษีอย่างฉลาดครับ” ผศ.จอห์นสันกล่าว “ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลที่ไม่ได้ทำงาน ผู้ป่วยไม่เพียงพบบุคลากรทางการแพทย์โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังแต่ยังสามารถกักตัวโดยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีรายได้”
ศ.บารี ซอมบา ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารและนโยบายบริการสุขภาพชี้ว่าการเข้าถึงบริการสุขภาพของชาวอเมริกันนั้นด้อยกว่าประเทศอื่น และปัญหานี้น่าจะส่งผลไปถึงผู้เยาว์ในความดูแลของแรงงานที่ถูกเลิกจ้างด้วย
“เราเห็นปัญหาความไม่เท่าเทียมในสหรัฐมาตลอด ประกันสุขภาพของเราผูกติดอยู่กับการจ้างงาน นั่นหมายความว่าประกันสุขภาพของผู้ที่สถานะเป็นนักศึกษาหรือเด็กก็ผูกติดอยู่กับนายจ้างของพ่อแม่โดยปริยาย”
ปัจจุบันมีชาวอเมริกันราว 67 ล้านคนอยู่ในสายอาชีพที่เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างอันเป็นผลจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 และผู้ที่ตกงานก็อาจสูญเสียประกันสุขภาพไปพร้อมกันด้วยซึ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหาในสถานการณ์ยากลำบากให้รุนแรงขึ้นไปอีก
แทนที่รัฐบาลสหรัฐจะช่วยให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพ ในทางตรงข้ามกลับออกมาตรการที่ไม่ต่างจากเอาพลาสเตอร์ยามาปิดแผลเหวะหวะ
เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมาสภาพสูงของสหรัฐลงมติรับรองร่างกฎหมายมอบเช็คเงินช่วยเหลือ 1,200 ดอลลาร์แก่แรงงานและกิจการขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่เช็คดังกล่าวจะไม่ครอบคลุมผู้ที่ไม่ได้ยื่นเสียภาษีเมื่อปี 2561 หรือ 2562 และบุคคลที่รัฐถือว่าเป็นผู้เยาว์ เช่น นักศึกษามหาวิทยาลัย
ความพยายามบรรเทาปัญหาการเงินที่สะพัดไปทั่วสหรัฐนั้นน่ายกย่อง อย่างไรก็ดีมาตรการดังกล่าวไม่สามารถช่วยเหลือได้ทั่วถึง ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐจำเป็นต้องมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
อาริ กลาเซียร์ นักศึกษาเอกวารสารศาสตร์เชื่อว่าการระบาดของไวรัสโคโรนาฟ้องให้เห็นความไม่เท่าเทียมที่ฝังรากลึกในระบบสุขภาพของสหรัฐซึ่งทำให้การมีสุขภาพดีกลายเป็นของล้ำค่า
“บริการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิพึงมีของเรา” กลาเซียร์ย้ำ “ไม่สมเหตุสมผลเลยที่เราต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล หนำซ้ำระบบการรักษาพยาบาลภายใต้การบริหารโดยบรรษัทเอกชนก็มีราคาแพงลิบลิ่ว”
ในห้วงเวลานี้ดูเหมือนว่าคนรวยเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถเข้าถึงการมีสุขภาพดี ลูกจ้างบางคนอาจโชคดีที่สามารถทำงานจากที่บ้าน ทว่าแรงงานส่วนใหญ่ยังคงต้องไปทำงานทุกวันเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
แม้เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นทีละน้อยแต่ประชาชนยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะพ้นจากภาระหนี้ค่ารักษาพยาบาลที่อาจต้องเผชิญ
หลักประกันสุขภาพของสหรัฐควรเป็นรูปเป็นร่างเสียตั้งนานแล้วก่อนที่จะเกิดการระบาดของ COVID-19 และเราเองก็ควรตาสว่างเสียตั้งแต่ก่อนโรคระบาด
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากสหรัฐซึ่งเป็นประเทศร่ำรวยที่สุดของโลกมีระบบสุขภาพกองทุนเดียวเหมือนประเทศอื่นก็คงช่วยลดจำนวนคนตายได้ปีละหลายล้านคน”
แปลจาก COVID-19 pandemic proves why universal health care is necessary (https://temple-news.com)
- 12 views